全职高手 Fanfiction – ทางเลือก
Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]
.
.
.
เขาไม่รู้ว่าคนเราต้องมีความอดทนแค่ไหนถึงจะเพียงพอกัน
ทั้งยังไม่รู้ว่า…ขีดจำกัดของตัวเขาจะเพียงพอต่อสถานการณ์เช่นนี้ด้วยหรือไม่
คงจะมีแค่ เวลา ที่อาจจะบอกคำตอบเหล่านี้แก่เขาได้ล่ะมั้งนะ…
กุ่ยหมีเสินอี๋ของเขาล้มลงแล้ว
จนถึงตอนนี้ทีมฮูเซี่ยวนอกจากตัวเขาต่างก็พากันตายยกก๊วนไปก่อนหน้านี้ไม่เว้นแม้แต่กัปตันทีมอย่างถังเฮ่า ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเก่งกาจแค่ไหน จะมีความสับปลับเต็มเปี่ยมแค่ไหน แต่การเผชิญหน้ากับพวกซิงซินครบห้าคนแบบนี้ ขนาดตัวเขาเองก็ยังหมดปัญญาที่จะหนีรอดจริงๆ
ถึงจะรู้สึกเสียดายชิ้นส่วนของอีเวนต์ครั้งนี้ที่อุตส่าห์เก็บรวบรวมมาหน่อยๆ ก็เถอะ แต่ในเมื่อเขาที่ใช้ความพยายามสับปลับอย่างยากลำบากเพื่อหนีรอดออกมาได้ กลับถูกซิงซินตีชิงตามไฟกอบกำไรไปแบบนี้ ก็ยิ่งทำเอาเขารู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าความเสียดายเสียอีก
ฟางรุ่ยถอนหายใจเพื่อระบายความหงุดหงิด ก่อนจะส่งข้อความบอกที่อยู่ของซิงซินให้แก่ทีมหวงเฟิงและเยียนอวี่ สองบ้านที่ร่วมกันไล่ต้อนฮูเซี่ยวก่อนหน้านี้
แม้ว่าการ “ทำร้ายผู้อื่น ไม่เอื้อตนเอง” เช่นนี้จะดูเป็นวิธีการที่สับปลับไปซะหน่อย แต่อย่างน้อยการทำให้พวกซิงซินลำบากขึ้นมาบ้างก็ทำเอาเขารู้สึกดีขึ้นมากว่าเดิมนิดหนึ่ง
ใช่…แค่เพียงนิดหนึ่งจริงๆ
เพราะต้นเหตุความไม่สบอารมณ์ที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ในเกมออนไลน์แต่เป็นภายนอกต่างหาก
ความอดทนของเขากำลังเริ่มพังทลายลง
ฟางรุ่ยเหลือบมองจ้าวอวี่เจ๋อที่ยังคงชำเลืองมองเขาด้วยหางตาเป็นพักๆ ก่อนจะส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วยืนจากที่นั่งขึ้นมายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
เขาเป็นนักกีฬาที่ต่อสู้ภายใต้ธงฮูเซี่ยวมานานหลายปี ปัญหาต่างๆ ที่คนอื่นดูออกมีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่รู้กัน
เขารู้…ซ้ำยังรู้ดียิ่งกว่าใครๆ
ฟางรุ่ยแค่นยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ตั้งแต่ที่ใครบางคนออกจากฮูเซี่ยวไปและมีถังเฮ่าเข้ามาแทนที่ แม้ว่าฤดูกาลที่ผ่านมา ฮูเซี่ยวดูเหมือนกำลังจะพุ่งขึ้นสูง โดยสามารถไต่ขึ้นไปได้ถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายก็ตาม แต่สำหรับตัวเขาที่ไม่สามารถหลอมรวมเข้ากับทีมได้ ความสามารถที่มี การเล่นสายสับปลับที่เขาถนัด และเคยเป็นสไตล์การเล่นหลักของฮูเซี่ยว มาบัดนี้กลับหาจุดประสานกับกับไพ่ราชาคนใหม่ของทีมอย่างถังเฮ่าไม่ได้สักนิด
นับวันฮูเซี่ยวยิ่งไม่ใช่ฮูเซี่ยวที่เขาเคยอาศัยอยู่มาตลอดห้าปี
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ฮูเซี่ยวกลับกลายเป็นเพียงทีมแปลกหน้าสำหรับเขา
ตั้งแต่วันที่ถังเฮ่าย้ายเข้ามา
หรือหลินจิ้งเหยียนจากเขาไป
หรือเป็นเพราะคู่หูที่ไม่มีวันได้ต่อสู้ร่วมกันอีก?
แม้ถังซันต่าจะยังคงอยู่เคียงข้างกุ่ยหมีเสินอี๋ แต่คู่หูอาชญากรกลับกลายเป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว
ฟางรุ่ยรู้สึกได้…ไม่ว่าใครในสโมสรก็รู้สึกได้กันทั้งนั้น
ถังเฮ่ากับจ้าวอวี่เจ๋อไม่พอใจในตัวเขา ทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับการเล่นสายสับปลับอย่างเด็ดขาด
ถ้าอย่างนั้นเขาควรทำเช่นไร จะงัดข้อกับกับนักกีฬาแกนหลักของฮูเซี่ยวในตอนนี้เช่นนั้นหรือ
ไม่…เขารู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีโอกาสชนะในการแข่งขันนี้
หรือเขาควรจะยอมถอยออกมา ปรับเปลี่ยนการเล่นสายสับปลับไปทำตัวเลือดระอุเช่นเดียวกับพวกคนหนุ่มเช่นนั้นหรือ
เขารู้ดีว่าตัวเองทำเช่นนั้นไม่ได้
การเล่นสายสับปลับมานานปีได้ฝังรากลึกสลักลงบนตัวเขาไปแล้ว หากจะให้ปรับเปลี่ยนไปคงต้องบอกตามตรงว่าไม่น่าไหว อีกทั้งโดยอาชีพโจรขโมยที่เน้นการวางกับดักก็ไม่เหมาะจะให้เขาเปลี่ยนไปเล่นสไตล์พุ่งชนแบบถังเฮ่ากับ
จ้าวอวี่เจ๋ออีก
ความรู้สึกที่เหมือนกำลังเคว้งคว้างต่ออนาคตของตัวเอง ราวกับกำลังยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งกลางมหาสมุทรที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อเช่นนี้
เหล่าหลินก็เคยรู้สึกมาก่อนใช่ไหม?
อีกฝ่ายจะรู้สึกหนักอึ้งเพียงใดยามถูกสโมสรที่หวังจะให้เป็นบ้านหลังสุดท้ายกล่อมให้วางมือไป
แต่ในเมื่อฮูเซี่ยวกำลังจะทอดทิ้งสไตล์การเล่นสับปลับ
ดูท่าปรมาจารย์สับปลับอย่างเขา…
ก็คงจะถึงเวลาต้องเดินตามอดีตคู่หูไปแล้วจริงๆ สินะ
ฟางรุ่ยกวาดตามองห้องซ้อม เขาเห็นถังเฮ่ากำลังยืนขึ้น จ้าวอวี่เจ๋อ ตามด้วยคนอื่นๆ ที่เหลือพากันทยอยเดินออกจากห้องไปทีละคนสองคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่เคยมีใครคนหนึ่งเคยบอกเขาเอาไว้
‘รู้ไหมว่าสำหรับพวกเราแล้วเพดานก็เหมือนท้องฟ้า เป็นท้องฟ้าที่มองเห็นได้บ่อยที่สุด’
‘ส่วนแสงไฟก็คือแสงดาว คอยส่องแสงนำทางพวกเราท่ามกลางท้องฟ้า
ที่มืดมิด ถ้าไม่มีแสงไฟนายก็กดแป้นพิมพ์ไม่ได้จริงไหมล่ะ’
บางที…การจ้องมองท้องฟ้าเดิมๆ มันอาจจะทำให้เขารู้สึกชินกับมันเกินไปก็เป็นได้
เขาไม่อาจรอให้ เวลา เป็นตัวบอกคำตอบเขาอีกต่อไปแล้ว
เพราะดูท่าความอดทนของเขาจะพังทลายลงจนหมดก่อนที่เขาจะได้คำตอบที่ต้องการ
ถึงเวลาที่เขาคงจะต้องเปลี่ยนท้องฟ้าผืนใหม่แล้วจริงๆ
ยังไงซะลองเดินหนึ่งก้าว ดูหนึ่งก้าวก็แล้วกัน
ฟางรุ่ยเงยหน้ามองเพดานห้องซ้อมเป็นครั้งสุดท้าย จัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโพสต์ข้อความบางอย่างลงบนเวยปั๋วของตัวเองก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ และออกจากห้องซ้อมไปโดยไม่ลืมดับไฟทุกดวง
ห้องซ้อมของนักกีฬาทีมฮูเซี่ยวพลันมืดสนิทลงในทันใด…
———————————————————
ฟางรุ่ยเดินกลับมายังห้องพักของตัวเองเพียงลำพัง เขารู้ดีว่าเมื่อครู่นี้ตนออกจะตัดสินใจวู่วามเกินไปสักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโพสข้อความลงเวยปั๋วไปแบบนั้นมันทำให้เขาเหมือนได้ระบายอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอกออกไปได้บ้าง
เพราะความอดทนของเขามันมีอย่างจำกัด…
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองประตูห้องพักด้านข้างที่เคยเป็นห้องของใครคนหนึ่ง
คนที่เขามักจะชอบเข้าไปขโมยห้องของอีกฝ่ายมานอนเล่นตลอดห้าปี
คนที่คอยยิ้มให้เขาอยู่เสมอ…
ฟางรุ่ยแค่นยิ้มออกมาทีหนึ่ง นานแล้วที่เขาพยายามหักห้ามใจไม่ให้หันไปมองห้องพักของกัปตันทีมฮูเซี่ยวให้เต็มตาด้วยเพราะห้องยังคงเป็นห้องเดิม
แต่คนข้างในกลับไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป…
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งที่ยังคงอยู่ในชุดทีม นาทีนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะลุกมาทำสิ่งใดแล้ว หากแต่โทรศัพท์มือถือที่กำลังส่งเสียงร้องไม่หยุดก็ทำให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาดู
ใต้โพสเวยปั๋วของเขาอันล่าสุดเต็มไปด้วยคอมเมนต์นับร้อยที่เต็มไปด้วยถ้อยคำพิลึกพิลั่น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแขวนชื่อเป็นมหาเทพด้านความสับปลับมานานปี มีหรือที่แฟนคลับของเขาจะไม่เป็นพวกจอมสับปลับด้วย ดังนั้นคอมเมนต์ส่วนมากจึงมีแต่ถ้อยคำสับปลับแทบไม่ซ้ำแบบ
ยกเว้นก็แต่คอมเมนต์ของแฟนคลับคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะสัมผัสถึงอารมณ์ที่ผิดแปลกไปของเขาได้
ฟางรุ่ยมองถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงของแฟนคลับคนนั้นแล้วหลุดยิ้มออกมา…
ที่จริง…แค่ทักมาถามเขาตามตรงก็ได้ไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ ด้วยนะหรืออาจจะอยากลองเปลี่ยนเป็นขโมยแบบเขาบ้างหรือไงกัน
“ฟางต้าเป็นอะไร”
เขาเป็นอะไรงั้นหรือ?
นั่นสิ..เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเป็นอะไรกันแน่ คู่หูของเขาโดนกดดันจนต้องจากทีมไปเข้าสู่ทีมใหม่ เขาที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับทีมได้ตลอดหนึ่งปีมานี้ เขาที่ต้องอดทนกับการปรับตัวอยู่เพียงฝ่ายเดียว ไล่ตามคนอื่นอยู่เพียงลำพัง
เขาที่ไม่สามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างแท้จริง
เขาอาจจะแค่เหนื่อยจนเกินไป…
ฟางรุ่ยเม้มริมฝีปากแน่น ตัดสินใจพิมพ์ตอบข้อความนั้นกลับไปด้วยถ้อยคำเพียงสี่พยางค์
เหนื่อยใจไม่รัก
ก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือในมือ แล้วหลับตาลงทิ้งความวุ่นวายและความเหนื่อยล้าทั้งหมดในใจไปกับข้อความบนเวยปั๋วนั้น
ในเมื่อฟ้าที่เคยเป็นมาได้แปรเปลี่ยนไปจนเหมือนกลายเป็นเพียงผืนฟ้าแปลกตา ดังนั้นเขาที่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปนั้น…
ก็คงหมดเรี่ยวแรงที่จะรักผืนฟ้าแปลกหน้านี้อีกต่อไปแล้ว
———————————————————
ฟางรุ่ยสะลึมสะลือตื่นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพักตัวเองดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เขาลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วยามเห็นว่าตอนนี้ออกจะเช้าไปซะหน่อยที่จะนัดซ้อมหรือเรียกประชุมกัน หากแต่เมื่อเขาโผล่หน้าออกไปนั้น คนที่มาปลุกเขาแต่เช้ากลับเป็นถังเฮ่า
ระหว่างเขากับถังเฮ่าแล้วพวกเขาไม่ใช่คู่หูกัน ไม่ได้มีความสนิทสนมใดเป็นพิเศษนอกซะจากว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมทีมกัน ทีมที่มีเขาเป็นรองกัปตันส่วนอีกฝ่ายเป็นกัปตันทีมมันก็แค่นั้น ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างสงสัยอยู่ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้มาหาเขาแต่เช้าขนาดนี้
“นายมีอะไร” เขาเอ่ยปากถาม
“บอสเรียกคุณไปพบ เมื่อคืนคุณทำอะไรไปล่ะ?” ถังเฮ่าตอบกลับด้วยสีหน้าติดจะถมึงทึง เขาเกลียดการทำอะไรอ้อมค้อม สับปลับเช่นคนตรงหน้าที่สุด
“นั่นสินะ เดี๋ยวฉันตามไปแล้วกัน”
ฟางรุ่ยพยักหน้ากระตุกยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าพลันสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เขากวาดมองรอบห้องพักที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนมานานหลายปี จะว่ามันเป็นความผูกพันก็คงใช่ เพราะถ้าเขาจากไปครั้งนี้ คงจะไม่มีโอกาสได้กลับมานอนที่นี่อีกต่อไปแล้ว…
นายใหญ่คงเห็นข้อความบนเวยปั๋วของเขาแล้วสินะ
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร หากสโมสรไม่สะกิดใจกับเวยปั๋วของเขาเลยนี่สิถึงจะเป็นการละเลยกันเกินไปแล้ว
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งจะปะทุขึ้นมาเสียหน่อย แต่มีมาถึงหนึ่งฤดูกาลเต็มแล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฮูเซี่ยวจะวางตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ในความเป็นจริง
ท่าทีของกัปตันก็คือท่าทีของสโมสร
ดังนั้น ฮูเซี่ยว…ไม่ใช่ที่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาเองก็มีสไตล์การเล่นที่ต้องโคจรรอบนักกีฬาแกนหลัก สมัยหลินจิ้งเหยียน พวกเขาสองคนต่างสอดประสานกันได้อย่างดีเยี่ยมและลงตัว หากแต่เมื่อถังซันต่าถูกเปลี่ยนมือไปสู่ถังเฮ่า การสอดประสานเหล่านั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
เขาเดาท่าทีของสโมสรได้ไม่ยาก
แม้ว่าเขาจะรับใช้ฮูเซี่ยวมานานปี แต่หากต้องเสียสละไปหนึ่งแล้ว ระหว่างเสาหลักของฮูเซี่ยวกับนักกีฬาที่ไม่อาจเป็นตัวหลักได้นั้น
สโมสรคงตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาที
———————————————————
เป็นจริงดังคาด…
หลังจากที่เขาโดนเรียกเข้าไปคุยกับนายใหญ่พ่วงด้วยกัปตันทีมอย่างถังเฮ่า ในเมื่อถังเฮ่าไม่ยอมประนีประนอม ส่วนตัวเขาก็ไม่ยินยอมจะละทิ้งสายสับปลับที่มี
ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้
“ผมเข้าใจดี ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้วครับ” เขาพูดพลางอมยิ้ม ถึงอย่างไรเขาก็เคารพนายใหญ่คนนี้ไม่ต่างจากที่เคารพหลินจิ้งเหยียน เขารู้ว่าสโมสรก็คงหนักใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ไม่น้อย
พวกเขาทอดทิ้งหลินจิ้งเหยียน
ซ้ำยังเพิ่งหันหลังให้เขา
นับแต่วันนี้…คู่หูอาชญากรแห่งฮูเซี่ยวได้ปิดฉากลงแล้ว
เขาเดินออกจากห้องนายใหญ่ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ถึงจะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน
ระยะเวลาห้าปี
จะว่าเร็วก็เร็วจะว่าช้าก็ช้าดั่งเช่นที่หลินจิ้งเหยียนเคยพูดเอาไว้
ต่อจากนี้ เขาก็แค่เริ่มต้นใหม่ดูสักครั้ง…ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะต้องเดินไปทางไหนก็เถอะ
ฟางรุ่ยถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมา เพราะรำคาญเสียงแจ้งเตือนเขาจึงตัดสินใจปิดมันกอปรกับต้องไปคุยกับนายใหญ่แต่เช้าทำให้เขาไม่ได้แตะต้องมันเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นถี่จนเขาต้องเผลอนิ่วหน้า
นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ก่อนที่เขาจะได้กดเข้าเวยปั๋ว ปรากฏว่ามีสายโทรเข้ามาเสียก่อน เขาคุ้นเคยกับเฉินซือเหยียนดีอีกฝ่ายเป็นนักข่าวที่อยู่คู่ฮูเซี่ยวมานาน ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกับเธอ
เมื่อรับสายเขาพลันได้ยินเสียงของเฉินซือเหยียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนไม่น้อย “จะไปจริงๆ หรือ”
“ใช่แล้ว…คงต้องจากไปแล้วล่ะ”
“ตั้งใจจะไปที่ไหน” อีกฝ่ายถามกลับ
“ยังไม่ได้คิดเลย…” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
อันที่จริงไม่ใช่เขาไม่คิด แต่เขาไม่อยากจะคิดมากกว่า ถึงอย่างไรเขาก็ผูกพันกับที่นี่ไม่น้อย ให้มานั่งเลือกสโมสรที่จะต้องไปต่อจากนี้ก็ทำเอาเขาหนักใจอยู่บ้าง…
“ถ้าอย่างนั้น คุณได้เข้าไปดูเวยปั๋วหรือยังล่ะ มีทีมเยอะแยะกำลังทาบทามคุณอยู่ด้วยนะแม้แต่เยี่ยซิวยังมารีโพสต์เวยปั๋วคุณเลย”
“เยี่ยซิว?” เขาขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว แถมยังส่งเทียบเชิญให้คุณไปซิงซินด้วย”
“ซิงซินงั้นหรือ”
“คุณรีบเข้าไปดูเองเถอะ!” เฉินซื้อเหยียนเร่งเร้า
ซิงซินของเจ้าหมอนั่นอย่างงั้นหรือ…กับเจ้าคนไร้ขีดจำกัดล่างแบบนั้น
ฟางรุ่ยเผลอเบ้ปากขึ้นมาในทันใด…
———————————————————
เฉินซือเหยียนวางสายไปแล้ว เขารีบเข้าไปไถเวยปั๋วของตัวเองในทันที คอมเมนต์ส่วนมากหากไม่มาจากพวกขามุงก็เป็นถ้อยคำจิกกัดจากพวกนักกีฬาอาชีพทั้งฝูง
เจ้าพวกบ้าพวกนั้น ไม่มีอะไรทำหรือไงกันฟะ
ฟางรุ่ยจิ๊ปากอย่างขัดใจ มือขวาไถเวยปั๋วขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ มองข้ามถ้อยคำขยะเหล่านั้น ก่อนจะพบกับข้อความสามัญธรรมดาที่โพสต์เอาไว้ตั้งแต่เช้าตรู่
ยังตื่นเช้าเหมือนเคยนะเหล่าหลิน
เขายิ้ม มองข้อความสั้นๆ จากอีกฝ่ายที่ถามเพียงว่า “มีเรื่องอะไร” ก่อนจะเปิดโปรแกรมแชทแล้วทักไปหาเจ้าตัว
ฟางต้าต้า : สวัสดีคุณแฟนคลับเบอร์หนึ่ง
หลินจิ้งเหยียน : ฮะๆ รู้จนได้นะ
ฟางต้าต้า : รู้แล้วกันน่า ไม่เนียนๆ
หลินจิ้งเหยียน : คราวนี้…ต้องไปแล้วหรือ
ฟางต้าต้า : อืม เหนื่อยแล้วล่ะ พอไม่มีคนคอยให้ขโมยห้องกับลูบหัวเลยเหนื่อยง่ายแบบนี้แหละนะ
หลินจิ้งเหยียน : คิดไว้หรือยังว่าจะไปที่ไหน
ฟางต้าต้า : ยังเลยล่ะ
ฟางต้าต้า : นี่ เหล่าหลิน ฝากถามหานเหวินชิงหน่อยสิว่าเขาต้องการโจรขโมยไปช่วยไถกระเป๋าตังค์มุมตึกเพิ่มอีกสักคนไหม
หลินจิ้งเหยียน : ฮะๆ ไว้ฉันจะช่วยถามให้นะ [อีโมยิ้มๆ]
หลินจิ้งเหยียน : ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง ไม่ว่านายจะเดินไปเส้นทางไหน นายยังมีฉันอยู่เสมอเสี่ยวฟาง
ฟางต้าต้า : อืมมม ถ้างั้นฉันวางมือเลยดีไหม
หลินจิ้งเหยียน : ถ้านายจะเอาอย่างนั้นก็ได้นะ แต่คงต้องเหนื่อยกว่าตอนนี้ล่ะนะเพราะฉันคงไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว ^_^
ฟางต้าต้า : ฉันอยากแคปข้อความนี้โพสต์ลงเวยปั๋วชะมัด โฉมหน้าที่แท้จริงของอันธพาลหลินจิ้งเหยียน!!
ฟางต้าต้า : ล้อเล่นน่า
ฟางต้าต้า : เรื่องแบบนี้ให้ฉันรู้คนเดียวก็พอแล้ว
ฟางต้าต้า : ไว้ถ้าตัดสินใจได้แล้วจะโทรไปหา
ฟางต้าต้า : คิดถึง
หลินจิ้งเหยียน : คิดถึงเช่นกัน อย่าลืมโทรหาฉันด้วย
ฟางรุ่ยมองข้อความในโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดับหน้าจอลงแล้วเดินกลับห้องพักตัวเองพลางเริ่มต้นฮัมเพลงด้วยความสบายใจ
เพียงแค่เขาได้คุยกับคนคนนี้
ความกังวลทั้งหลายที่ทับถมจนหนักอึ้งในใจเขาพลันสลายหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ว่าเมื่อไร…
หลินจิ้งเหยียนก็ยังเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจยามอยู่ใกล้ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหนๆ
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาได้พบกับหลินจิ้งเหยียนครั้งแรกหรือตอนที่ได้พบกันครั้งสุดท้ายก็ตาม
ไม่ว่าเมื่อไรอีกฝ่ายยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
คอยนำทางเขาเสมอมา…
“สับปลับฟาง นายเคยคิดจะเปลี่ยนแนวบ้างไหม ลองผู้ใช้ลมปราณดูเป็นไงล่ะ?”
เขามองข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาจากเยี่ยซิว ผู้ใช้ลมปราณงั้นหรือ
บางที…
ซิงซินเองก็คงไม่เลวเหมือนกันกันล่ะมั้งนะ
ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนสโมสรแล้ว ลองเปลียนอาชีพดูบ้างจะเป็นไรไป
ลองดูสักตั้งก็ไม่เลว…
แต่ว่า…ถ้าง่ายอย่างนั้นก็คงจะไม่สนุกเท่าไร ยังไงก็ขอเอาคืนพวกซิงซินหน่อยแล้วกัน
ฟางรุ่ยยิ้มกริ่มพิมพ์ตอบคนจากซิงซินไปว่า
“ตลกน่า!!”
———————————————————
Talk
เป็นฟิคหลินฟางที่แทบแหกเล่ม17กาวเลยค่ะ ฮาา เราอยากเขียนช่วงนี้มากเลยค่ะ การตัดสินใจ ภาวะในใจและความกดดันของฟางรุ่ยที่เก็บเอาไว้ตลอดหนึ่งปีนี้จะเป็นยังไงกัน นี่คือสิ่งที่เราอยากจะสื่อค่ะ เป็นเหมือนเป็นฟิคหลินฟางที่ฟางรุ่ยรำพันอยู่ฝ่ายเดียวเลยค่ะ…คิดถึงเหล่าหลินสินะ ถถถถ
ส่วนพี่หลิน…พ่อเตาผิงอบอุ่นนนของเราาา พี่เป็นฮีลลิ่งแมนสินะคะ แงงงง