全职高手 Fanfiction – How to train your naughty boy(friend)

职高手 Fanfiction – How to train your naughty boy(friend)

Pairing : อวี้หวง+หลินฟาง

Note : ฟรีเปเปอร์สำหรับงาน GloryOnly 2 ค่ะ

.

.

.

[YuHuang]

 

คืนหนึ่งหลังจากที่อวี้เหวินโจวเพิ่งเสร็จจากการประชุมกับผู้จัดการทีม แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตามแต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเข้ามา เขากลับยังเห็นรองกัปตันอย่างหวงเส้าเทียนกำลังนอนเล่นเกมโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์ แถมยังสวมเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนตัวเดิมกับที่ใส่มาตลอดทั้งวันอีก

 

“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอเส้าเทียน?” อวี้เหวินโจวว่าพลางเดินไปนั่งลงข้างๆ คนไม่ชอบอาบน้ำ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลทองนุ่มมือช้าๆ

 

“วันนี้อากาศเย็นจะตายไป ใครจะอาบน้ำไหวกัน แถมนี่ดึกแล้วด้วยนากัปตัน ไว้ค่อยอาบตอนเช้าก็ได้นี่” ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องที่มาพร้อมเสียงนุ่มของคนเป็นกัปตัน หวงเส้าเทียนที่มีชนักติดหลังโทษฐานไม่ยอมอาบน้ำจึงรีบเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ก่อนจะเปิดปากพูดรัวเร็วพูดไปเรื่อยหวังกลบเกลื่อนความผิดของตน

 

ไม่น่าเห็นแก่ขนมแล้วไปสัญญากับกัปตันเลยว่าจะอาบน้ำทุกวัน เชี่ยเอ้ย น้ำหนาวขนาดนี้ใครจะไปอยากอาบกันฟะ!

 

หวงเส้าเทียนสบถในใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ยกแขนตัวเองขึ้นมาดมทีนึงแล้วยื่นไปตรงหน้าอวี้เหวินโจวให้อีกฝ่ายช่วยร่วมพิสูจน์กลิ่นอีกเสียง “นี่ไงไม่เห็นเหม็นเลย ไม่อาบวันเดียวคงไม่เป็นไรหรอกขนาดเหล่าเยี่ยยังไม่ค่อยอาบเลยน่า” 

 

“นั่นสินะ วันนี้อากาศเย็นจริงๆ” อวี้เหวินโจวกล่าวเสียงอ่อนโยน ค่อยๆ ก้มหน้าแตะปลายจมูกลงบนแขนของรองกัปตันทีมหลานอวี่เพื่อพิสูจน์กลิ่นที่เจ้าตัวมั่นใจนักหนาว่าไม่มี ขณะที่มุมปากพลันกระตุกยิ้มน้อยๆ

 

“ไม่มีกลิ่น”

 

“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้ว แถมอาบน้ำตอนกลางคืนยังทำให้เป็นหวัดด้ว–”

 

เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินโจวดูจะเห็นด้วยกับตน หวงเส้าเทียนได้ทีรีบพยักหน้ากับตัวเองเร็วๆ พลางเริ่มต้นบ่นไปเรื่อยไม่ให้เสียชื่อจอมฝอยแห่งหลานอวี่ หากแต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบ อวี้เหวินโจวที่ในตอนแรกเพียงแตะปลายจมูกลงมากลับเริ่มขบเม้มผิวเนื้อที่แขนของเขาไปด้วย

 

“เชี่ย! กัปตันทำอะไรฮะ”

 

หวงเส้าเทียนหันไปโวยวายใส่กัปตันผู้มือพิการแค่ในเกมอย่างอวี้เหวินโจว ก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามลุกขึ้นหนีสุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีรอดจากคนเป็นเจ้ากลยุทธ์ไปได้เมื่ออีกฝ่ายเริ่มไล่ละมือสัมผัสผิวเนื้อที่ต้นแขน ลำคอ ก่อนจะขยับผลุบหายเข้าไปใต้เสื้อโปโลสีฟ้าอ่อน

               

“ฉันจะไปอาบน้ำ!!!!” คุณชายน้อยหวงหันไปแยกเขี้ยวใส่อวี้เหวินโจวด้วยใบหน้าขึ้นสี เขารีบหมุนตัวกระโดดลงจากเตียง มือฉวยเอาชุดนอนของตนที่อีกฝ่ายคงเป็นคนหยิบจากตู้มาเตรียมพร้อมไว้ให้อยู่แล้วขึ้นมาถือไว้

               

“ไม่หนาวแล้วเหรอ” อวี้เหวินโจวเลิกคิ้วกล่าวด้วยยิ้มล้อเลียน

               

“ไม่แล้ว ตอนนี้ร้อน! นี่ๆๆๆ ร้อนเป็นบ้าเลยเนอะกัปตัน งั้นเดี๋ยวฉันกลับไปอาบน้ำที่ห้องก่อนนะ กัปตันก็รีบอาบเข้าล่ะ เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ด้วยนี่!”

 

คนช่างพูดรีบทำเป็นเฉไฉ แล้วผลุนผลันเปิดประตูมุดออกจากห้องนอนกัปตันทีมหลานอวี่ไปทั้งที่ยังหน้าแดงก่ำ โดยมีอวี้เหวินโจวยืนส่งยิ้มบางให้คนที่เพิ่งวิ่งออกไป ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายวาววับ

 

ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบชุดนอนของตัวเองขึ้นมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยอีกคน

 

________________________________________________

 

[LinFang]

 

“เสี่ยวฟางไปอาบน้ำก่อนไหม?”

 

หลินจิ้งเหยียนกล่าวพลางส่งยิ้มบางให้เด็กหนุ่มที่ชอบหลบเข้ามาขโมยห้องนอนของเขาด้วยข้ออ้างที่ว่า ห้องเขาใหญ่กว่าวิวดีกว่า ทั้งยังชอบทำตัวราวกับแมวกลัวน้ำด้วยการสลัดเสื้อนอกของทีมทิ้งแล้วมุดลงผ้าห่มไปทั้งอย่างนั้น

 

อย่างวันนี้แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะลงแข่งกันมาทั้งยังเจอศึกหนักจนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การไม่อาบน้ำก่อนนอนก็เป็นสิ่งที่คนอย่างหลินจิ้งเหยียนออกจะรับไม่ค่อยได้สักเท่าไร

 

แม้เขาจะไม่ใช่คนรักสะอาดขนาดจางซินเจี๋ยของป้าถูที่ได้ยินมาว่าถึงกับมีขั้นตอนการอาบน้ำเลยก็ตาม แต่ถึงอย่างไรการอาบน้ำก่อนนอนก็ยังทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง ดังนั้นเมื่อเห็นคนรักอายุน้อยของตนดูจะไม่ชอบอาบน้ำ เขาก็ออกจะลำบากใจอยู่เหมือนกัน

 

ถึงจะคอยเตือนให้อีกฝ่ายอาบน้ำมาตลอดหนึ่งปีตั้งแต่ที่ฟางรุ่ยเดบิวต์มาก็เถอะ แต่เหมือนเด็กคนนี้ก็ดูจะไม่ฟังเขาเลยสักนิด….

 

หลินจิ้งเหยียนมองเด็กหนุ่มที่กำลังนอนขดตัวใต้ผ้าห่ม พร้อมยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธให้เขา ก็ได้แต่ส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วหยิบชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำไป

 

เพียงไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับชุดนอนสีน้ำเงินเข้ม หลินจิ้งเหยียนใช้ผ้าขนหนูซับเส้นผมเปียกชื้นของตัวเอง ขณะเดินกลับไปที่เตียงแล้วค่อยๆ สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่มีฟางรุ่ยกำลังนอนอยู่ด้านใน

 

“ฮื้อออ หอม” เสียงครางฮือพร้อมกับเสียงคล้ายคนละเมอของรองกัปตันทีมฮูเซี่ยวดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตวัดมือโอบรอบเอวของหลินจิ้งเหยียนแล้วขยับตัวเข้ามาซุกหน้าอกของคนสูงวัยกว่าช้าๆ พลางสูดกลิ่นหอมของสบู่และแชมพูหลังอาบน้ำไปด้วย

 

“เสี่ยวฟาง ไม่อาบน้ำหน่อยเหรอ” หลินจิ้งเหยียนเริ่มหว่านล้อมอีกรอบ แม้จะพอรู้ว่าถึงยังไงเด็กดื้อตรงหน้าก็คงไม่ยอมทำตามที่เขาบอกก็ตาม

 

“ไม่อ่ะ เหนื่อย ง่วงด้วย” เมื่อได้ยินเสียงละเมอตอบกลับมาจากคนที่กำลังเกาะเขาราวกับลูกลิงแล้ว หลินจิ้งเหยียนก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ

 

เด็กดื้อ…

 

เขายกมือขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายดันแผ่นหลังฟางรุ่ยให้ขยับเข้ามาชิดตัวเขามากขึ้น แล้วค่อยๆ หลับตาลงเตรียมเข้านอนไปด้วยอีกคน

 

ถึงเขาจะชอบเวลาเสี่ยวฟางใช้แชมพูกลิ่นเดียวกับเขาก็ตาม แต่การแข่งคงทำให้เด็กน้อยคนนี้เหนื่อยน่าดู

 

ไว้คราวหน้าแล้วกัน…..

.

.

.

แม้จะคิดอย่างนั้น เพราะดูเหมือนนิสัยไม่ชอบอาบน้ำของฟางรุ่ยดูจะแก้ยากไปสักหน่อย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวโอเคกับการอาบน้ำวันเว้นวันแบบนี้ แต่ถึงยังไงเขาก็ยังอยากจับเด็กดื้ออาบน้ำอยู่ดี

 

หลินจิ้งเหยียนถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้….

 

คืนนี้หลินจิ้งเหยียนจึงตั้งใจจะไม่อาบน้ำด้วยคน…

 

หลังจากทำแบบฝึกประจำวันเสร็จ ห้องกัปตันทีมฮูเซี่ยวก็ยังคงโดนคนเป็นรองกัปตันขโมยใช้ราวกับเป็นห้องตัวเองเช่นเคย เมื่อมาถึงเจ้าตัวก็โยนเสื้อคลุมทิ้งแล้วกระโดดขึ้นเตียงในทันที หากแต่วันนี้กลับไม่ได้มีเพียงเด็กหนุ่มที่ทำตัวเช่นนี้

 

หลินจิ้งเหยียนถอดเสื้อคลุมทีมออกมาแขวนไว้กับราว แล้วสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มโอบร่างของเด็กหนุ่มที่ไม่ชอบอาบน้ำเข้ามากอดไว้แน่น ชายหนุ่มกดริมฝีปากลงบนหน้าผากช้าๆ ขณะที่ฟางรุ่ยพลันลืมตาขึ้นมาแล้วย่นจมูกใส่คนสูงวัยที่กำลังกอดตนอยู่

 

“เหม็นเป็นบ้าเลยเหล่าหลิน ไม่อาบน้ำเหรอไง”

 

“อืม ลองไม่อาบเป็นเพื่อนเสี่ยวฟางบ้าง” หลินจิ้งเหยียนพยักหน้าพลางยิ้มรับคำ

 

“เหอะๆๆ…เหล่าหลินนี่สับปลับจังน้า ไว้พรุ่งนี้จะอาบด้วยแล้วกัน พอไม่มีกลิ่นแชมพูแล้วอย่างเหม็นใครจะหลับลงกัน” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำก่อนจะหลับตาลงแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด ทิ้งให้คนเป็นกัปตันได้แต่นอนอมยิ้มแล้วค่อยๆ หลับตาลงบ้าง

 

“นั่นสินะ…”

 

ยังไงมีกลิ่นหอมแชมพูกันทั้งคู่ก็ดีกว่าจริงนั่นแหละ

 

________________________________________________

TALK

สวัสดีค่า แวะเอาฟปป.ที่แจกในงานกลอรี่มาลงค่ะ สำหรับฟปป.นี้ไม่มีอะไรมากนอกจากโดนท่านเจ้าสาปให้นิ้วโป้งล็อกค้างนานมาก แต่พอบอกว่าจะทำฟปป.อวี้หวงให้นิ้วก็หายล็อกทันที……(…) บ้าจริม แต่สุดท้ายก็เสร็จแบบฉิวเฉียดนะคะ เนื้อหาก็เมากาว…และเมากาวอย่างเดียวค่ะ 55555555 ถึงจะอยากสั่งสอนเด็กดื้อยังไงสุดท้าย พี่อวี้กับพี่หลินก็ตามใจแฟนเหมือนเดิมนะคะ คน-ขี้-สปอยยยยย

全职高手 Fanfiction – ล่างพิชิตบน

全职高手 Fanfiction – ล่างพิชิตบน

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

.

.

.

…ตั้งแต่ที่ถังซันต่าถูกสกิลอันธพาลขั้นสูงอย่างพายุหมัดเจ้าถนนซัดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดความหวังที่เขาจะหาทางเอาชนะถังเฮ่าได้ก็หมดลง

 

ทั้งที่ก่อนนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือเฝ้ารอให้ถังเฮ่าทำผิดพลาดขึ้นมาสักอย่าง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงนักกีฬาใหม่ที่เล่นในลีคอาชีพได้ไม่ถึงสองปี หากจะเผลอทำพลาดอะไรออกมาก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไร เขาเพียงแค่ต้องยันเกมเอาไว้ ยื้อเวลาออกไปให้มากที่สุดเพื่อรอคอยจับข้อผิดพลาดนั้นแล้วสวนกลับ เพราะการปะทะซึ่งหน้ากับถังเฮ่าคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับเขาที่ไม่สามารถควบคุมเรี่ยวแรงตัวเองได้ดั่งใจอีกต่อไป

 

ทว่าแม้เขาจะใช้ทั้งประสบการณ์ทั้งหมดที่มีและวิธีการที่ดีที่สุดแล้วแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังคงไม่เข้าท่าสักนิด

 

ตัวละครถังซันต่าจะแข็งแกร่งกว่าแล้วอย่างไร?

 

ในเมื่อยามปะทะกับเดอลิลโลของถังเฮ่าแล้วกลับเป็นเขาเองที่กำลังตกเป็นเบี้ยล่างอย่างแท้จริง….

 

อาจเป็นเพราะปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มคนนั้นว่องไวเกินไป

 

หรือไม่ก็…เป็นตัวเขาที่เชื่องช้าเสียเอง

 

หลินจิ้งเหยียนรู้ตัวเองดี ปฏิกิริยาโต้ตอบและการควบคุมของเขาตอนนี้เมื่อเทียบกับคนหนุ่มอย่างถังเฮ่าแล้วทั้งเชื่องช้าและขาดความเฉียบคม แม้จะอาศัยประสบการณ์ของขุนพลเฒ่าที่มีอยู่เต็มเปี่ยมรับมือก็ตาม แต่กลายเป็นว่าถึงดวงตาจะสังเกตเห็นช่องโหว่มากมายเพียงใด หากร่างกายกลับไม่สามารถออกแรงฉกฉวยมันเอาไว้ได้ทัน ซ้ำยังปล่อยให้ถังเฮ่าหลุดรอดมือ แก้ไขความผิดพลาดนั้นไปอย่างต่อหน้าต่อตา

 

ส่วนความผิดพลาดที่เขาคว้าจับเอาไว้ได้ทันนั้น เมื่อเทียบระหว่างดาเมจของเขากับการโจมตีอันดุดันของถังเฮ่าแล้ว

 

ดูจะเปล่าประโยชน์สิ้นดี…

 

จนถึงตอนนี้บางส่วนในตัวเขากำลังบอกวาไร้โอกาสแล้วหรือ? หากอีกเสี้ยวหนึ่งในใจก็ร้องตะโกนออกมาว่ายังเร็วเกินไปที่จะถอดใจ ดังนั้นเขาจึงยังยืนหยัดบนสนาม เฝ้าคอยความหวังสุดท้ายที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นมาหรือไม่

 

เพราะการแข่งขันยังไม่จบ

 

ความเป็นขุนพลเฒ่าทำให้ความอดทนของเขามีมากกว่าใคร ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ที่ถังซันต่ากระโจนเข้าสู่กับดักที่คู่แข่งวางเอาไว้ ถูกกดลงกับพื้นตามด้วยกำปั้นของเดอลิลโลที่รัวลงมาดุจห่าฝน

 

เขารู้จักความร้ายกาจของพายุหมัดเจ้าถนนดียิ่งกว่าใคร

 

รู้ซึ้งถึงดาเมจของมันยิ่งกว่าใคร…

 

ในที่สุดเขาก็เลิกมีความหวังใดๆ กับเกมนี้อีกต่อไปแล้ว

 

หลินจิ้งเหยียนมองแถบพลังชีวิตของถังซันต่าที่ลดลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเกลี้ยงหลอด ไม่อาจยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง ก่อนจะทิ้งมือทั้งสองข้างที่ยังคงสั่นน้อยๆ ลงแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยความอ่อนแรง

 

ดูท่าการต่อกรกับคนหนุ่มอายุน้อยอย่างถังเฮ่าคงจะสูบเรี่ยวแรงเขาไปมากจนทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนล้าไปหมด

 

ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะขยับเปลือกตาช้าๆ จ้องมองคำว่า “กลอรี่” ที่ปรากฏขึ้นบหน้าจอ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงพิธีกรประกาศชื่อของผู้ชนะด้วยเสียงดังกังวาน ว่าที่อดีตอันธพาลอันดับหนึ่งถอนหายใจก่อนจะก้าวเท้าลงจากแท่นควบคุม

 

ในที่สุด ล่างพิชิตบน ก็เสร็จสมบูรณ์

 

ตั้งแต่วันนี้ตำแหน่งอันธพาลอันดับหนึ่งได้ถูกเปลี่ยนมือแล้ว

 

“เล่นได้ไม่เลวนี่…” เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับยื่นมือออกไป แม้ในใจจะรู้สึกขมขื่นเพียงใดแต่ภายนอกเขายังคงเป็นเช่นเดิมการเป็นนักกีฬามาหลายปีทำให้เขาชินเสียแล้วกับการไม่แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม…

 

หากแต่ถังเฮ่าตรงหน้าเพียงปรายตามองก่อนจะยื่นมือออกมาจับมือของเขาบ้าง พร้อมกับคำพูดที่เจ้าตัวลั่นออกมาก่อนหน้านี้

 

“ล่างพิชิตบน”

 

หลินจิ้งเหยียนยังคงยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้ง เขายืนมองถังเฮ่าที่ชูสองมือขึ้นกลางสนาม ก่อนจะก้าวออกจากสนามไปเงียบๆ

 

อุโมงค์ที่เขาเคยเดินผ่านมานับครั้งไม่ถ้วนยังคงเป็นเหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันดูทอดยาวออกไปไกลและมืดมิดกว่าปกติ

 

พอลองนับดูก็เป็นเวลาเกือบ 7 ปีแล้วที่เขาต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในวงการมืออาชีพ ได้เป็นกัปตันทีมระดับกลางทีมหนึ่ง ได้รับฉายาอันธพาลอันดับหนึ่งแห่งกลอรี่มาครอบครอง แม้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งไม่ใช่มหาเทพเช่นคนอื่นๆ แต่เกียรติยศเหล่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เสียแรงที่พยายามและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมันไป

 

อีกทั้งเส้นทางแห่งกลอรี่ยังทำให้เขาได้เป็นคู่หูของคนสำคัญของคนหนึ่ง

 

เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว

 

ดวงตาใต้กรอบแว่นของหลินจิ้งเหยียนเปลี่ยนจากล้ำลึกเป็นทอประกายอ่อนโยนขึ้นทันทีที่สังเกตเห็นใครคนหนึ่งในชุดทีมฮูเซี่ยวกำลังยืนกอดอกพิงผนังภายในอุโมงค์มืดสลัวนี้

 

แม้ในความมืดจะมองเห็นได้ไม่ชัดเท่าไรนัก แต่แสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิดก็ยังพอให้เขาเห็นใบหน้าเรียวกับดวงตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายที่กำลังมองตรงมายังเขาก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยทักขึ้นมาด้วยเสียงติดจะแหบเล็กน้อยกว่าเมื่อเช้า “วันนี้ฉันอุตส่าห์เชียร์นายจนคอแห้งไปหมดแล้ว เพราะงั้นไปหาอะไรดื่มกันหน่อยไหมหลินต้าต้า?”

 

“นายเลี้ยง?” หลินจิ้งเหยียนเลิกคิ้วถาม

 

“แน่นอนว่าต้องนายสิ เอาใจกองเชียร์อันดับหนึ่งของนายหน่อย เดี๋ยวครั้งหน้าจะไม่มีแรงเชียร์เอานา”

 

ฟางรุ่ยกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินตรงไปหาคู่หูของตน สองมือของชายหนุ่มแยกออกกว้างราวกับรอให้อีกฝ่ายโถมตัวเข้ามาในอ้อมแขนนี้ หากแต่หลินจิ้งเหยียนกลับเพียงยกยิ้มละไมแล้วโอบร่างของฟางรุ่ยเข้ามาในวงแขนตนแทนก่อนจะดันร่างพวกเขาสองคนเข้าไปในซอกลึกของอุโมงค์สนามแข่ง

 

แม้ว่าในอุโมงค์วันนี้จะมืดกว่าทุกครั้งเพราะการฉายภาพโฮโลแกรม แต่สำหรับขุนพลเฒ่าที่รอบคอบทั้งในเกมและนอกเกมอย่างเขาแล้ว ไม่ว่ายังไงการยืนกอดรองกัปตันตัวเองกลางทางเดินในอุโมงค์ก็ดูจะอันตรายเกินไปหน่อย

 

“ไม่กลัวมีคนมาเห็นหรือไงฮึ” ฟางรุ่ยย่นจมูกใส่คนเป็นกัปตันผู้อาจหาญมาทำตัวพลอดรักในอุโมงค์สนามแข่ง ทั้งที่ด้านนอกยังคงเต็มไปด้วยบรรดานักข่าวที่พร้อมจะเขียนสกู๊ปเด็ดอย่างเต็มที่

 

“ถ้าเจอก็แค่บอกไปว่านายมาปลอบใจคู่หูที่กำลังเศร้าเพราะเพิ่งแข่งแพ้มาดีไหม” หลินจิ้งเหยียนพูดพลางกลั้วหัวเราะ ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าอ่อนวัยที่พยายามฉีกยิ้มกว้างให้เขาตั้งแต่เดินเข้ามา

 

เพราะเป็นรอยยิ้มอันสดใสที่เขาหลงรักมาโดยตลอด

 

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ทันทีว่ารอยยิ้มนี้ดูแปลกไป…

 

“หลินต้าต้านี่สับปลับเก่งจังน้า”

 

ได้ยินจอมสับปลับเอ่ยเย้าเข้าให้แบบนี้ หลินจิ้งเหยียนพลันหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ ก่อนจะกระชับอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดเจ้าเด็กแสบตรงหน้าให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วตอบกลับอีกฝ่ายเสียงนุ่ม “ฮะๆ เรื่องนี้ฉันคงไม่สู้ปรมาจารย์สับปลับอย่างฟางต้าต้าหรอก”

 

“เสี่ยวฟาง…ทางสโมสรมีอะไรหรือเปล่า” หลินจิ้งเหยียนฝุบหน้าลงกับไหล่ของเด็กน้อยที่เพิ่งสูงเลยตัวเขาไปนิดหน่อยแล้ว ถึงจะแค่สองเซนติเมตรแต่ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้จะดูดีใจไม่น้อย

 

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว…

 

“รู้แล้วหรอกเหรอ?” ฟางรุ่ยเอ่ยเสียงเบา รอยยิ้มที่เจ้าตัวเพียรฝืนยิ้มเอาไว้ค่อยๆ หุบลง

 

“อืม…รู้สึกมาได้สักพักแล้ว แค่วันนี้มันคงเร่งให้เร็วขึ้น” หลินจิ้งเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ แม้ว่าเขาจะเคยชินกับการตีหน้ายิ้มสุภาพเพื่อปิดบังอารมณ์ที่แท้จริงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง

 

แค่ไม่ตอบโต้ ใช่ว่าเขาจะตอบโต้ไม่เป็นซะที่ไหน…

 

ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงคนเดียวที่เขาจะสามารถปลดปล่อยอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องเก็บงำ

 

แค่เพียงคนในอ้อมกอดนี้…

 

“ครั้งหน้า ฉันหวังว่ายังมีครั้งหน้าที่นายจะได้เชียร์ฉันอีก” หลินจิ้งเหยียนกระซิบข้างใบหูฟางรุ่ยแผ่วเบา สองมือของเขาลูบแผ่นหลังรองกัปตันฮูเซี่ยวช้าๆ ราวกับปลอบประโลมเด็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงรัดแน่นที่เอวจากคนอ่อนวัยกว่า

 

“สโมสรจะหันหลังให้ฉันแล้วใช่ไหม?” หลินจิ้งเหยียนยังคงพูดต่อ

 

ฟางรุ่ยไม่ตอบรับแต่กลับยิ่งฝังหน้าลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่ายแทน ก่อนที่เสียงอู้อี้จะดังขึ้นช้าๆ

 

“พวกนั้นบอกว่านายกำลังฟอร์มตก…ที่ฤดูกาลนี้ฮูเซี่ยวตกต่ำมาได้ถึงขนาดนี้เป็นเพราะนาย”

 

“ทุเรศชะมัด กล้าดียังไงเจ้าพวกลูกเจี๊ยบง่อยพวกนั้นถึงเรียกนายว่าเนื้อร้ายกัน นายเป็นคู่หูฉัน ผลงานที่ออกมายังไงฉันก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยไม่ใช่แค่นายคนเดียวสักหน่อย เหอะ ถ้าจะต้องย้ายเพราะเรื่องนี้งั้นฉันก็ต้องไปด้ว—” ยังไม่ทันได้พูดจนจบมือข้างหนึ่งของหลินจิ้งเหยียนก็ขยับเข้ามาปิดปากคนพูดเสียก่อน พร้อมกับมืออีกข้างยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงห้าม

 

“ฉันเป็นกัปตันเสี่ยวฟาง มันเป็นความรับผิดชอบของฉัน”

 

“แล้วไง นายเป็นกัปตันฉันก็เป็นรอง?” ฟางรุ่ยยักไหล่ เงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาอ่อนโยนของคนห้ามเขม็ง

 

หลินจิ้งเหยียนเห็นท่าทีดังนั้นจึงค่อยๆ ละมือของตนออกมาแล้วยกขึ้นวางทาบบนต้นคอของจอมสับปลับแทน นิ้วเรียวลากไล้เกลี่ยข้างแก้มขึ้นสีของฟางรุ่ยแผ่วเบา

 

“เวลาของนายยังเหลืออีกมากเสี่ยวฟาง…”

 

“…”

 

“ถึงฉันเคยบอกว่าจะอยู่ข้างนายตราบเท่าที่ฉันยังสู้ไหวก็ตาม ตอนนี้ฉันยังไม่ยอมแพ้ก็จริง แต่ฮูเซี่ยว…คงเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปก่อนแล้วล่ะนะ”

 

กัปตันทีมฮูเซี่ยวส่งยิ้มบางให้คนในอ้อมกอด นิ้วเรียวที่เดิมทีเกลี่ยข้างแก้มอีกฝ่ายค่อยๆ ไล่ละลงมาที่กลางหลังก่อนจะโอบอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดกับหน้าอกของเขา

 

วันนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว

 

พ่ายแพ้ให้แก่ ‘ล่างพิชิตบน’ ของถังเฮ่าอย่างเสร็จสมบูรณ์

 

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากรีบผละจากสนามรบนี้ เขายังคงสู้ไหว

 

ยังอยากยืนหยัดบนเวทีเคียงข้างคู่หูคนสำคัญคนนี้แม้อีกเพียงสักนิดก็ยังดี

 

อีกทั้งคำสัญญาระหว่างพวกเขาที่ว่าจะพาฮูเซี่ยวเข้าไปเปล่งประกายแบบดอกไม้ไฟในรอบชิงชนะเลิศก็ยังทำไม่สำเร็จ

 

เขาในตอนนี้ยังตัดใจไม่ลง…

 

หลินจิ้งเหยียนฝังจมูกลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลสั้น ตามด้วยริมฝีปากเรียวที่กดแนบจุมพิตลงข้างขมับของเด็กน้อยตรงหน้า ก่อนจะผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นมองเห็นภาพตัวเองที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตากลมของอีกฝ่าย

 

คงจะดีหากวันและเวลาของเขาไม่เดินเร็วจนนำหน้าอีกฝ่ายไปก่อนหลายก้าวไปเช่นนี้

 

“นี่เหล่าหลิน…” ฟางรุ่ยเอ่ยกระซิบเสียงเบาพร้อมกับเอนตัวพิงร่างของหลินจิ้งเหยียน แขนทั้งสองข้างของเขาตวัดขึ้นโอบรอบคออดีตอันธพาลอันดับหนึ่งก่อนจะดันใบหน้าอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้บ้าง “ยังจำตอนที่ฉันตัดสินใจจะเลือกเล่นโจรขโมยได้ไหม”

 

“อืม” หลินพยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มตามขึ้นมายามนึกถึงอดีตในค่ายฝึกของคนตรงหน้า “นายในตอนนั้นเล่นอาชีพอันธพาลซะสับปลับจนเถ้าแก่ถึงกับกุมหัวสินะ”

 

“ใช่ไหมล่ะ แล้วก็เป็นนายที่หยิบเอากุ่ยหมีเสินอี๋มาให้ฉันลอง” ฟางรุ่ยฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้รอยยิ้มของเขาไม่ได้ฝืนทนอีกต่อไปแล้ว “หลังจากนั้นฉันก็ใช้มันซ้อมกับนายมาตลอดจนถังซันต่าถึงกับติดเชื้อสับปลับของฉันไปด้วย”

 

“ตอนนั้นทุกคนตกใจกับแผนการเล่นแบบนี้น่าดูใช่ไหมล่ะ”

 

“เพราะงั้นจากผู้สืบทอดก็เลยได้อัพเกรดกลายมาเป็นคู่หูของนายแทนไง”

 

“…”

 

“นี่เหล่าหลิน…เวลาที่นายว่าไม่ใช่แค่ของนายคนเดียวสักหน่อย”

 

“แต่มันเป็นของเราต่างหาก…”

 

สิ้นเสียงของฟางรุ่ย ชายหนุ่มพลันก้มหน้าลงแนบกลีบปากตัวเองลงบนริมฝีปากของหลินจิ้งเหยียน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ไม่ใช่เพียงแค่สัมผัสแผ่วบาง

 

หากเป็นสัมผัสที่รวมเอาทุกความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีเอาไว้

 

ทุกความรู้สึก

 

และทุกความทรงจำ

 

อัดแน่นภายในจุมพิตนี้ของเขา…

 

“เวลาของนายยังไม่หมดสักหน่อยเหล่าหลิน ต้องเอาเวลาของฉันกับเวลาของนายรวมกันแล้วหารสองต่างหากถึงจะถูก” ฟางรุ่ยยิ้มร่าขณะเป็นฝ่ายละใบหน้าออกมาก่อน ชายหนุ่มหลับตาลงแนบใบหน้าตัวเองลงบนแผ่นอกกว้างของหลินจิ้งเหยียน สองมือยังคงโอบรั้งต้นคออีกฝ่ายไว้ปล่อย

 

“เวลาของเรางั้นเหรอ…”

 

“ฮะๆ เรื่องสับปลับแบบนี้ยังไงก็สู้เสี่ยวฟางไม่ได้เลยจริงๆ” หลินจิ้งเหยียนพึมพำก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วเป็นฝ่ายกดจูบเข้าที่ขมับซ้ายขวาของเด็กหนุ่มซ้ำไปซ้ำมาบ้าง

 

ถึงในวันนี้..ฮูเซี่ยวเริ่มหันหลังให้เขาแล้ว

 

และสัญญาณของการจากลาดูจะใกล้เข้ามาทุกขณะ

 

“แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน…เวลาของพวกเรายังคงอยู่ต่อไปสินะ”

 

“อื้ม…” ฟางรุ่ยพยักหน้ารับ “เพราะงั้นนะ ไม่ว่าจะเป็นนายหรือฉันที่ได้แชมป์ก็เหมือนเราได้ด้วยกันนั่นแหละ”

 

“มั่นใจน่าดูเลยนี่…ฉันอาจจะได้ย้ายไปอยู่ทีมแชมป์สักทีมก็ได้ใครจะรู้” หลินจิ้งเหยียนเลิกคิ้วพร้อมกับแนบหน้าผากตัวเองเข้ากับหน้าผากจอมสับปลับตรงหน้า

 

“ก็ยิ่งดีใหญ่…นายได้ก็เท่ากับฉันได้ด้วย” ฟางรุ่ยฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยออกมาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจัดการปิดปากคนสูงวัยตรงหน้าอีกครั้ง

 

“เพราะเวลาของพวกเรายังไม่หมดไง…..”

 

—————————————————-

Talk

สวัสดีเดทไลน์ หงึกกก จะทันไหมน้าา จะทันไหมมม

全职高手 Fanfiction – ทางเลือก

职高手 Fanfiction – ทางเลือก

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

.

.

.

เขาไม่รู้ว่าคนเราต้องมีความอดทนแค่ไหนถึงจะเพียงพอกัน

 

ทั้งยังไม่รู้ว่า…ขีดจำกัดของตัวเขาจะเพียงพอต่อสถานการณ์เช่นนี้ด้วยหรือไม่

 

คงจะมีแค่ เวลา ที่อาจจะบอกคำตอบเหล่านี้แก่เขาได้ล่ะมั้งนะ…

 

 

กุ่ยหมีเสินอี๋ของเขาล้มลงแล้ว

 

จนถึงตอนนี้ทีมฮูเซี่ยวนอกจากตัวเขาต่างก็พากันตายยกก๊วนไปก่อนหน้านี้ไม่เว้นแม้แต่กัปตันทีมอย่างถังเฮ่า ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเก่งกาจแค่ไหน จะมีความสับปลับเต็มเปี่ยมแค่ไหน แต่การเผชิญหน้ากับพวกซิงซินครบห้าคนแบบนี้ ขนาดตัวเขาเองก็ยังหมดปัญญาที่จะหนีรอดจริงๆ

 

ถึงจะรู้สึกเสียดายชิ้นส่วนของอีเวนต์ครั้งนี้ที่อุตส่าห์เก็บรวบรวมมาหน่อยๆ ก็เถอะ แต่ในเมื่อเขาที่ใช้ความพยายามสับปลับอย่างยากลำบากเพื่อหนีรอดออกมาได้ กลับถูกซิงซินตีชิงตามไฟกอบกำไรไปแบบนี้ ก็ยิ่งทำเอาเขารู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าความเสียดายเสียอีก

 

ฟางรุ่ยถอนหายใจเพื่อระบายความหงุดหงิด ก่อนจะส่งข้อความบอกที่อยู่ของซิงซินให้แก่ทีมหวงเฟิงและเยียนอวี่ สองบ้านที่ร่วมกันไล่ต้อนฮูเซี่ยวก่อนหน้านี้

 

แม้ว่าการ “ทำร้ายผู้อื่น ไม่เอื้อตนเอง” เช่นนี้จะดูเป็นวิธีการที่สับปลับไปซะหน่อย แต่อย่างน้อยการทำให้พวกซิงซินลำบากขึ้นมาบ้างก็ทำเอาเขารู้สึกดีขึ้นมากว่าเดิมนิดหนึ่ง

 

ใช่…แค่เพียงนิดหนึ่งจริงๆ

เพราะต้นเหตุความไม่สบอารมณ์ที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ในเกมออนไลน์แต่เป็นภายนอกต่างหาก

 

ความอดทนของเขากำลังเริ่มพังทลายลง

 

ฟางรุ่ยเหลือบมองจ้าวอวี่เจ๋อที่ยังคงชำเลืองมองเขาด้วยหางตาเป็นพักๆ ก่อนจะส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วยืนจากที่นั่งขึ้นมายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย

 

เขาเป็นนักกีฬาที่ต่อสู้ภายใต้ธงฮูเซี่ยวมานานหลายปี ปัญหาต่างๆ ที่คนอื่นดูออกมีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่รู้กัน

 

เขารู้…ซ้ำยังรู้ดียิ่งกว่าใครๆ

 

ฟางรุ่ยแค่นยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ตั้งแต่ที่ใครบางคนออกจากฮูเซี่ยวไปและมีถังเฮ่าเข้ามาแทนที่ แม้ว่าฤดูกาลที่ผ่านมา ฮูเซี่ยวดูเหมือนกำลังจะพุ่งขึ้นสูง โดยสามารถไต่ขึ้นไปได้ถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายก็ตาม แต่สำหรับตัวเขาที่ไม่สามารถหลอมรวมเข้ากับทีมได้ ความสามารถที่มี การเล่นสายสับปลับที่เขาถนัด และเคยเป็นสไตล์การเล่นหลักของฮูเซี่ยว มาบัดนี้กลับหาจุดประสานกับกับไพ่ราชาคนใหม่ของทีมอย่างถังเฮ่าไม่ได้สักนิด

 

นับวันฮูเซี่ยวยิ่งไม่ใช่ฮูเซี่ยวที่เขาเคยอาศัยอยู่มาตลอดห้าปี

 

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ฮูเซี่ยวกลับกลายเป็นเพียงทีมแปลกหน้าสำหรับเขา

 

ตั้งแต่วันที่ถังเฮ่าย้ายเข้ามา

หรือหลินจิ้งเหยียนจากเขาไป

หรือเป็นเพราะคู่หูที่ไม่มีวันได้ต่อสู้ร่วมกันอีก?

 

แม้ถังซันต่าจะยังคงอยู่เคียงข้างกุ่ยหมีเสินอี๋ แต่คู่หูอาชญากรกลับกลายเป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว

 

ฟางรุ่ยรู้สึกได้…ไม่ว่าใครในสโมสรก็รู้สึกได้กันทั้งนั้น

 

ถังเฮ่ากับจ้าวอวี่เจ๋อไม่พอใจในตัวเขา ทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับการเล่นสายสับปลับอย่างเด็ดขาด

 

ถ้าอย่างนั้นเขาควรทำเช่นไร จะงัดข้อกับกับนักกีฬาแกนหลักของฮูเซี่ยวในตอนนี้เช่นนั้นหรือ

 

ไม่…เขารู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีโอกาสชนะในการแข่งขันนี้

 

หรือเขาควรจะยอมถอยออกมา ปรับเปลี่ยนการเล่นสายสับปลับไปทำตัวเลือดระอุเช่นเดียวกับพวกคนหนุ่มเช่นนั้นหรือ

 

เขารู้ดีว่าตัวเองทำเช่นนั้นไม่ได้

 

การเล่นสายสับปลับมานานปีได้ฝังรากลึกสลักลงบนตัวเขาไปแล้ว หากจะให้ปรับเปลี่ยนไปคงต้องบอกตามตรงว่าไม่น่าไหว อีกทั้งโดยอาชีพโจรขโมยที่เน้นการวางกับดักก็ไม่เหมาะจะให้เขาเปลี่ยนไปเล่นสไตล์พุ่งชนแบบถังเฮ่ากับ
จ้าวอวี่เจ๋ออีก

 

ความรู้สึกที่เหมือนกำลังเคว้งคว้างต่ออนาคตของตัวเอง ราวกับกำลังยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งกลางมหาสมุทรที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อเช่นนี้

 

เหล่าหลินก็เคยรู้สึกมาก่อนใช่ไหม?

 

อีกฝ่ายจะรู้สึกหนักอึ้งเพียงใดยามถูกสโมสรที่หวังจะให้เป็นบ้านหลังสุดท้ายกล่อมให้วางมือไป

 

แต่ในเมื่อฮูเซี่ยวกำลังจะทอดทิ้งสไตล์การเล่นสับปลับ

 

ดูท่าปรมาจารย์สับปลับอย่างเขา…

 

ก็คงจะถึงเวลาต้องเดินตามอดีตคู่หูไปแล้วจริงๆ สินะ

 

ฟางรุ่ยกวาดตามองห้องซ้อม เขาเห็นถังเฮ่ากำลังยืนขึ้น จ้าวอวี่เจ๋อ ตามด้วยคนอื่นๆ  ที่เหลือพากันทยอยเดินออกจากห้องไปทีละคนสองคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่เคยมีใครคนหนึ่งเคยบอกเขาเอาไว้

 

‘รู้ไหมว่าสำหรับพวกเราแล้วเพดานก็เหมือนท้องฟ้า เป็นท้องฟ้าที่มองเห็นได้บ่อยที่สุด’

 

‘ส่วนแสงไฟก็คือแสงดาว คอยส่องแสงนำทางพวกเราท่ามกลางท้องฟ้า
ที่มืดมิด ถ้าไม่มีแสงไฟนายก็กดแป้นพิมพ์ไม่ได้จริงไหมล่ะ’

 

บางที…การจ้องมองท้องฟ้าเดิมๆ มันอาจจะทำให้เขารู้สึกชินกับมันเกินไปก็เป็นได้

 

เขาไม่อาจรอให้ เวลา เป็นตัวบอกคำตอบเขาอีกต่อไปแล้ว

 

เพราะดูท่าความอดทนของเขาจะพังทลายลงจนหมดก่อนที่เขาจะได้คำตอบที่ต้องการ

 

ถึงเวลาที่เขาคงจะต้องเปลี่ยนท้องฟ้าผืนใหม่แล้วจริงๆ

 

ยังไงซะลองเดินหนึ่งก้าว ดูหนึ่งก้าวก็แล้วกัน

 

ฟางรุ่ยเงยหน้ามองเพดานห้องซ้อมเป็นครั้งสุดท้าย จัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโพสต์ข้อความบางอย่างลงบนเวยปั๋วของตัวเองก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ และออกจากห้องซ้อมไปโดยไม่ลืมดับไฟทุกดวง

 

ห้องซ้อมของนักกีฬาทีมฮูเซี่ยวพลันมืดสนิทลงในทันใด…

 

———————————————————

 

ฟางรุ่ยเดินกลับมายังห้องพักของตัวเองเพียงลำพัง เขารู้ดีว่าเมื่อครู่นี้ตนออกจะตัดสินใจวู่วามเกินไปสักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโพสข้อความลงเวยปั๋วไปแบบนั้นมันทำให้เขาเหมือนได้ระบายอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอกออกไปได้บ้าง

 

เพราะความอดทนของเขามันมีอย่างจำกัด…

 

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองประตูห้องพักด้านข้างที่เคยเป็นห้องของใครคนหนึ่ง

 

คนที่เขามักจะชอบเข้าไปขโมยห้องของอีกฝ่ายมานอนเล่นตลอดห้าปี

คนที่คอยยิ้มให้เขาอยู่เสมอ…

 

ฟางรุ่ยแค่นยิ้มออกมาทีหนึ่ง นานแล้วที่เขาพยายามหักห้ามใจไม่ให้หันไปมองห้องพักของกัปตันทีมฮูเซี่ยวให้เต็มตาด้วยเพราะห้องยังคงเป็นห้องเดิม

 

แต่คนข้างในกลับไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป…

 

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งที่ยังคงอยู่ในชุดทีม นาทีนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะลุกมาทำสิ่งใดแล้ว หากแต่โทรศัพท์มือถือที่กำลังส่งเสียงร้องไม่หยุดก็ทำให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาดู

 

ใต้โพสเวยปั๋วของเขาอันล่าสุดเต็มไปด้วยคอมเมนต์นับร้อยที่เต็มไปด้วยถ้อยคำพิลึกพิลั่น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแขวนชื่อเป็นมหาเทพด้านความสับปลับมานานปี มีหรือที่แฟนคลับของเขาจะไม่เป็นพวกจอมสับปลับด้วย ดังนั้นคอมเมนต์ส่วนมากจึงมีแต่ถ้อยคำสับปลับแทบไม่ซ้ำแบบ

 

ยกเว้นก็แต่คอมเมนต์ของแฟนคลับคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะสัมผัสถึงอารมณ์ที่ผิดแปลกไปของเขาได้

 

ฟางรุ่ยมองถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงของแฟนคลับคนนั้นแล้วหลุดยิ้มออกมา…

 

ที่จริง…แค่ทักมาถามเขาตามตรงก็ได้ไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ ด้วยนะหรืออาจจะอยากลองเปลี่ยนเป็นขโมยแบบเขาบ้างหรือไงกัน

 

“ฟางต้าเป็นอะไร”

 

เขาเป็นอะไรงั้นหรือ?

 

นั่นสิ..เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเป็นอะไรกันแน่ คู่หูของเขาโดนกดดันจนต้องจากทีมไปเข้าสู่ทีมใหม่ เขาที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับทีมได้ตลอดหนึ่งปีมานี้ เขาที่ต้องอดทนกับการปรับตัวอยู่เพียงฝ่ายเดียว ไล่ตามคนอื่นอยู่เพียงลำพัง

 

เขาที่ไม่สามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างแท้จริง

 

เขาอาจจะแค่เหนื่อยจนเกินไป…

 

ฟางรุ่ยเม้มริมฝีปากแน่น ตัดสินใจพิมพ์ตอบข้อความนั้นกลับไปด้วยถ้อยคำเพียงสี่พยางค์

 

เหนื่อยใจไม่รัก

 

ก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือในมือ แล้วหลับตาลงทิ้งความวุ่นวายและความเหนื่อยล้าทั้งหมดในใจไปกับข้อความบนเวยปั๋วนั้น

 

ในเมื่อฟ้าที่เคยเป็นมาได้แปรเปลี่ยนไปจนเหมือนกลายเป็นเพียงผืนฟ้าแปลกตา ดังนั้นเขาที่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปนั้น…

 

ก็คงหมดเรี่ยวแรงที่จะรักผืนฟ้าแปลกหน้านี้อีกต่อไปแล้ว

 

———————————————————

 

ฟางรุ่ยสะลึมสะลือตื่นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพักตัวเองดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เขาลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วยามเห็นว่าตอนนี้ออกจะเช้าไปซะหน่อยที่จะนัดซ้อมหรือเรียกประชุมกัน หากแต่เมื่อเขาโผล่หน้าออกไปนั้น คนที่มาปลุกเขาแต่เช้ากลับเป็นถังเฮ่า

 

ระหว่างเขากับถังเฮ่าแล้วพวกเขาไม่ใช่คู่หูกัน ไม่ได้มีความสนิทสนมใดเป็นพิเศษนอกซะจากว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมทีมกัน ทีมที่มีเขาเป็นรองกัปตันส่วนอีกฝ่ายเป็นกัปตันทีมมันก็แค่นั้น ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างสงสัยอยู่ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้มาหาเขาแต่เช้าขนาดนี้

 

“นายมีอะไร” เขาเอ่ยปากถาม

 

“บอสเรียกคุณไปพบ เมื่อคืนคุณทำอะไรไปล่ะ?” ถังเฮ่าตอบกลับด้วยสีหน้าติดจะถมึงทึง เขาเกลียดการทำอะไรอ้อมค้อม สับปลับเช่นคนตรงหน้าที่สุด

 

“นั่นสินะ เดี๋ยวฉันตามไปแล้วกัน”

 

ฟางรุ่ยพยักหน้ากระตุกยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าพลันสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

เขากวาดมองรอบห้องพักที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนมานานหลายปี จะว่ามันเป็นความผูกพันก็คงใช่ เพราะถ้าเขาจากไปครั้งนี้ คงจะไม่มีโอกาสได้กลับมานอนที่นี่อีกต่อไปแล้ว…

 

นายใหญ่คงเห็นข้อความบนเวยปั๋วของเขาแล้วสินะ

 

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร หากสโมสรไม่สะกิดใจกับเวยปั๋วของเขาเลยนี่สิถึงจะเป็นการละเลยกันเกินไปแล้ว

 

ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งจะปะทุขึ้นมาเสียหน่อย แต่มีมาถึงหนึ่งฤดูกาลเต็มแล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฮูเซี่ยวจะวางตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ในความเป็นจริง

 

ท่าทีของกัปตันก็คือท่าทีของสโมสร

 

ดังนั้น ฮูเซี่ยว…ไม่ใช่ที่ของเขาอีกต่อไปแล้ว

 

เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาเองก็มีสไตล์การเล่นที่ต้องโคจรรอบนักกีฬาแกนหลัก สมัยหลินจิ้งเหยียน พวกเขาสองคนต่างสอดประสานกันได้อย่างดีเยี่ยมและลงตัว หากแต่เมื่อถังซันต่าถูกเปลี่ยนมือไปสู่ถังเฮ่า การสอดประสานเหล่านั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย

 

เขาเดาท่าทีของสโมสรได้ไม่ยาก

 

แม้ว่าเขาจะรับใช้ฮูเซี่ยวมานานปี แต่หากต้องเสียสละไปหนึ่งแล้ว ระหว่างเสาหลักของฮูเซี่ยวกับนักกีฬาที่ไม่อาจเป็นตัวหลักได้นั้น

 

สโมสรคงตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาที

 

———————————————————

 

เป็นจริงดังคาด…

 

หลังจากที่เขาโดนเรียกเข้าไปคุยกับนายใหญ่พ่วงด้วยกัปตันทีมอย่างถังเฮ่า ในเมื่อถังเฮ่าไม่ยอมประนีประนอม ส่วนตัวเขาก็ไม่ยินยอมจะละทิ้งสายสับปลับที่มี

 

ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้

 

“ผมเข้าใจดี ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้วครับ” เขาพูดพลางอมยิ้ม ถึงอย่างไรเขาก็เคารพนายใหญ่คนนี้ไม่ต่างจากที่เคารพหลินจิ้งเหยียน เขารู้ว่าสโมสรก็คงหนักใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ไม่น้อย

 

พวกเขาทอดทิ้งหลินจิ้งเหยียน

 

ซ้ำยังเพิ่งหันหลังให้เขา

 

นับแต่วันนี้…คู่หูอาชญากรแห่งฮูเซี่ยวได้ปิดฉากลงแล้ว

 

เขาเดินออกจากห้องนายใหญ่ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ถึงจะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน

 

ระยะเวลาห้าปี

 

จะว่าเร็วก็เร็วจะว่าช้าก็ช้าดั่งเช่นที่หลินจิ้งเหยียนเคยพูดเอาไว้

 

ต่อจากนี้ เขาก็แค่เริ่มต้นใหม่ดูสักครั้ง…ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะต้องเดินไปทางไหนก็เถอะ

 

ฟางรุ่ยถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมา เพราะรำคาญเสียงแจ้งเตือนเขาจึงตัดสินใจปิดมันกอปรกับต้องไปคุยกับนายใหญ่แต่เช้าทำให้เขาไม่ได้แตะต้องมันเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นถี่จนเขาต้องเผลอนิ่วหน้า

 

นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

ก่อนที่เขาจะได้กดเข้าเวยปั๋ว ปรากฏว่ามีสายโทรเข้ามาเสียก่อน เขาคุ้นเคยกับเฉินซือเหยียนดีอีกฝ่ายเป็นนักข่าวที่อยู่คู่ฮูเซี่ยวมานาน ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกับเธอ

 

เมื่อรับสายเขาพลันได้ยินเสียงของเฉินซือเหยียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนไม่น้อย “จะไปจริงๆ หรือ”

 

“ใช่แล้ว…คงต้องจากไปแล้วล่ะ”

 

“ตั้งใจจะไปที่ไหน” อีกฝ่ายถามกลับ

 

“ยังไม่ได้คิดเลย…” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

 

อันที่จริงไม่ใช่เขาไม่คิด แต่เขาไม่อยากจะคิดมากกว่า ถึงอย่างไรเขาก็ผูกพันกับที่นี่ไม่น้อย ให้มานั่งเลือกสโมสรที่จะต้องไปต่อจากนี้ก็ทำเอาเขาหนักใจอยู่บ้าง…

 

“ถ้าอย่างนั้น คุณได้เข้าไปดูเวยปั๋วหรือยังล่ะ มีทีมเยอะแยะกำลังทาบทามคุณอยู่ด้วยนะแม้แต่เยี่ยซิวยังมารีโพสต์เวยปั๋วคุณเลย”

 

“เยี่ยซิว?” เขาขมวดคิ้ว

 

“ใช่แล้ว แถมยังส่งเทียบเชิญให้คุณไปซิงซินด้วย”

 

“ซิงซินงั้นหรือ”

 

“คุณรีบเข้าไปดูเองเถอะ!” เฉินซื้อเหยียนเร่งเร้า

 

ซิงซินของเจ้าหมอนั่นอย่างงั้นหรือ…กับเจ้าคนไร้ขีดจำกัดล่างแบบนั้น

 

ฟางรุ่ยเผลอเบ้ปากขึ้นมาในทันใด…

 

———————————————————

 

เฉินซือเหยียนวางสายไปแล้ว เขารีบเข้าไปไถเวยปั๋วของตัวเองในทันที คอมเมนต์ส่วนมากหากไม่มาจากพวกขามุงก็เป็นถ้อยคำจิกกัดจากพวกนักกีฬาอาชีพทั้งฝูง

 

เจ้าพวกบ้าพวกนั้น ไม่มีอะไรทำหรือไงกันฟะ

 

ฟางรุ่ยจิ๊ปากอย่างขัดใจ มือขวาไถเวยปั๋วขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ มองข้ามถ้อยคำขยะเหล่านั้น ก่อนจะพบกับข้อความสามัญธรรมดาที่โพสต์เอาไว้ตั้งแต่เช้าตรู่

 

ยังตื่นเช้าเหมือนเคยนะเหล่าหลิน

 

เขายิ้ม มองข้อความสั้นๆ จากอีกฝ่ายที่ถามเพียงว่า “มีเรื่องอะไร” ก่อนจะเปิดโปรแกรมแชทแล้วทักไปหาเจ้าตัว

 

ฟางต้าต้า : สวัสดีคุณแฟนคลับเบอร์หนึ่ง

หลินจิ้งเหยียน : ฮะๆ รู้จนได้นะ

ฟางต้าต้า : รู้แล้วกันน่า ไม่เนียนๆ

หลินจิ้งเหยียน : คราวนี้…ต้องไปแล้วหรือ

ฟางต้าต้า : อืม เหนื่อยแล้วล่ะ พอไม่มีคนคอยให้ขโมยห้องกับลูบหัวเลยเหนื่อยง่ายแบบนี้แหละนะ

หลินจิ้งเหยียน : คิดไว้หรือยังว่าจะไปที่ไหน

ฟางต้าต้า : ยังเลยล่ะ

ฟางต้าต้า : นี่ เหล่าหลิน ฝากถามหานเหวินชิงหน่อยสิว่าเขาต้องการโจรขโมยไปช่วยไถกระเป๋าตังค์มุมตึกเพิ่มอีกสักคนไหม

หลินจิ้งเหยียน : ฮะๆ ไว้ฉันจะช่วยถามให้นะ [อีโมยิ้มๆ]

หลินจิ้งเหยียน : ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง ไม่ว่านายจะเดินไปเส้นทางไหน นายยังมีฉันอยู่เสมอเสี่ยวฟาง

ฟางต้าต้า : อืมมม ถ้างั้นฉันวางมือเลยดีไหม

หลินจิ้งเหยียน : ถ้านายจะเอาอย่างนั้นก็ได้นะ แต่คงต้องเหนื่อยกว่าตอนนี้ล่ะนะเพราะฉันคงไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว ^_^

ฟางต้าต้า : ฉันอยากแคปข้อความนี้โพสต์ลงเวยปั๋วชะมัด โฉมหน้าที่แท้จริงของอันธพาลหลินจิ้งเหยียน!!

ฟางต้าต้า : ล้อเล่นน่า

ฟางต้าต้า : เรื่องแบบนี้ให้ฉันรู้คนเดียวก็พอแล้ว

ฟางต้าต้า : ไว้ถ้าตัดสินใจได้แล้วจะโทรไปหา

ฟางต้าต้า : คิดถึง

หลินจิ้งเหยียน : คิดถึงเช่นกัน อย่าลืมโทรหาฉันด้วย

 

ฟางรุ่ยมองข้อความในโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดับหน้าจอลงแล้วเดินกลับห้องพักตัวเองพลางเริ่มต้นฮัมเพลงด้วยความสบายใจ

 

เพียงแค่เขาได้คุยกับคนคนนี้

 

ความกังวลทั้งหลายที่ทับถมจนหนักอึ้งในใจเขาพลันสลายหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน

 

ไม่ว่าเมื่อไร…

 

หลินจิ้งเหยียนก็ยังเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจยามอยู่ใกล้ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหนๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาได้พบกับหลินจิ้งเหยียนครั้งแรกหรือตอนที่ได้พบกันครั้งสุดท้ายก็ตาม

 

ไม่ว่าเมื่อไรอีกฝ่ายยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

 

คอยนำทางเขาเสมอมา…

 

“สับปลับฟาง นายเคยคิดจะเปลี่ยนแนวบ้างไหม ลองผู้ใช้ลมปราณดูเป็นไงล่ะ?”

 

เขามองข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาจากเยี่ยซิว ผู้ใช้ลมปราณงั้นหรือ

 

บางที…

 

ซิงซินเองก็คงไม่เลวเหมือนกันกันล่ะมั้งนะ

 

ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนสโมสรแล้ว ลองเปลียนอาชีพดูบ้างจะเป็นไรไป

 

ลองดูสักตั้งก็ไม่เลว…

 

แต่ว่า…ถ้าง่ายอย่างนั้นก็คงจะไม่สนุกเท่าไร ยังไงก็ขอเอาคืนพวกซิงซินหน่อยแล้วกัน

 

ฟางรุ่ยยิ้มกริ่มพิมพ์ตอบคนจากซิงซินไปว่า 

 

“ตลกน่า!!”

 

———————————————————

Talk

เป็นฟิคหลินฟางที่แทบแหกเล่ม17กาวเลยค่ะ ฮาา เราอยากเขียนช่วงนี้มากเลยค่ะ การตัดสินใจ ภาวะในใจและความกดดันของฟางรุ่ยที่เก็บเอาไว้ตลอดหนึ่งปีนี้จะเป็นยังไงกัน นี่คือสิ่งที่เราอยากจะสื่อค่ะ เป็นเหมือนเป็นฟิคหลินฟางที่ฟางรุ่ยรำพันอยู่ฝ่ายเดียวเลยค่ะ…คิดถึงเหล่าหลินสินะ ถถถถ

ส่วนพี่หลิน…พ่อเตาผิงอบอุ่นนนของเราาา พี่เป็นฮีลลิ่งแมนสินะคะ แงงงง 

 

 

 

全职高手 Fanfiction – คู่หู [QZGS Weekly 7]

职高手 Fanfiction – คู่หู

Pairing : อวี้หวง

Note : กิจกรรม QZGS weekly สัปดาห์ที่ 7

.

.

.

เพราะเคยมีใครบางคนบอกเขาว่า

 

‘กลอรี่ไม่ใช่เกมสำหรับเล่นคนเดียว’

 

เขาเคยหัวเราะเยาะหมอนั่นตอนที่ได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดนี้ถูกต้องอย่างที่หมอนั่นพูดทุกอย่าง

 

แต่เพราะคนที่พูดกับเขาคืออวี้เหวินโจว

 

เขาที่มีทิฐิอยู่เต็มเปี่ยมจึงทำเป็นไม่สนใจคำพูดของหมอนั่น แล้วทำตัวแย่ๆ ต่อหน้าหมอนั่นไปซะได้

 

ในความทรงจำเขาแล้ว เขารู้เพียงอวี้เหวินโจวเป็นเด็กฝึกรุ่นเดียวกับเขา

 

เป็นพวกมือพิการที่พกมาแค่โชคซึ่งไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา

 

กระทั่งไม่เคยอยู่ในสายตาของใครสักคน

 

หากเทียบกันแล้วพวกเขาก็เหมือนดั่งน้ำกับน้ำมัน

 

เหมือนดวงจันทร์ที่ถูกบดบังโดยแสงอาทิตย์

 

เหมือนเส้นขนานที่ไม่น่าจะมีวันมาบรรจบกันได้

 

พวกเขาไม่มีอะไรที่เหมือนกันสักอย่างนอกจากความรักในกลอรี่เพียงอย่างเดียว

 

แต่ความรักเพียงหนึ่งเดียวนี้กลับกลายเป็นสะพานที่เชื่อมเส้นขนานระหว่างพวกเขาเข้าด้วยกัน

 

กลอรี่ทำให้เขาได้ค้นพบว่าอวี้เหวินโจวเป็นมือพิการที่ไม่เคยพึ่งพาโชคชะตา

 

อวี้เหวินโจวเป็นคนที่ซ้อมหนักยิ่งกว่าใครในสโมสร

 

มีความพยายามยิ่งกว่าใคร

 

เก่งกาจยิ่งกว่าใคร

 

สุขุมใจเย็นในแบบที่เขาไม่เคยทำได้

 

กลอรี่ทำให้เขาได้พบกับคู่หูที่ดีที่สุดในโลก

 

เขารักกลอรี่

 

และเขาก็รักคู่หูของเขาด้วยเช่นกัน

 

อวี้เหวินโจวจะมือพิการแล้วยังไง

 

เพราะอย่างนั้นเลยต้องมีเขาเป็นคู่หูไม่ใช่หรือไง

 

เพราะอวี้เหวินโจวมือพิการ

 

เขาจึงต้องปกป้องเจ้าอาคม คอยเป็นคมดาบพิทักษ์ฐานศิลาแห่งหลานอวี่ให้ยืนอยู่ในสมรภูมิได้นานที่สุด

 

เขาจะเป็นแสงอาทิตย์คอยสาดส่องให้ดวงจันทร์อย่างหมอนั่นเปล่งประกายแสงมากที่สุด

 

และจะเป็นคนคอยเติมสีสันให้โลกของหมอนั่นสว่างไสว

 

เพราะพวกเขาไม่มีอะไรสักอย่างที่เหมือนกัน

 

แต่พวกเราต่างเติมเต็มในส่วนที่ขาดของกันและกัน

 

เป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน

 

ดังนั้นพวกเราจึงกลายมาเป็นคู่หูที่ดีที่สุดในโลกยังไงล่ะ

 

หวงเส้าเทียน
10/2/20xx

 
คัดลอกจากGlory Dailyฉบับพิเศษเดือนกุมภาพันธ์ 

บทสัมภาษณ์ตำนานคู่หูคมดาบและคำสาปแห่งสโมสรหลานอวี่ ผู้นำถ้วยแชมป์แรกมาสู่สโมสร

 

—————————————————-

TALK

หัวข้อของวีคนี้ทำเอาชาวเรืออวี้หวงต่างสลัดตัวขี้เกียจลุกขึ้นกันมาแจวเรือกันยกใหญ่เลยค่ะ ฮา เราอยากเขียนให้เส้าเทียนอวยพี่อวี้มานานแล้วค่ะ เพราะปกติจะเขียนแต่พี่อวี้เป็นฝ่ายตามใจหวงเส้ามาตลอด แต่พอเขียนจริงกลายเป็นเหมือนบทความอวยแฟนยังไงชอบกลนะคะ ถถถ

 

 

全职高手 Fanfiction – Time

职高手 Fanfiction – Time

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

Note : พยายามจะเขียนกิจกรรม QZGS weekly สัปดาห์ที่ 5 (แต่ไม่ทันค่ะ ฮา)

.

.

.

ฟางรุ่ยไม่แน่ใจว่าตัวเองมายืนบื้ออยู่หน้าห้องหลินจิ้งเหยียนนานแค่ไหนแล้ว แต่ถ้าให้เขาลองเดาจากความเย็นบนฝ่ามือล่ะก็ คิดยังไงก็คงจะไม่ใช่แค่สองหรือสามนาทีแน่นอน

 

หรือถ้าให้พูดตามตรงมันอาจจะไม่นานเท่าไรหรอก เขาออกจะไม่ถูกกับอากาศเย็นๆ แบบนี้สักเท่าไร…เพราะอย่างนั้น แม้จะย้ายมาฮูเซี่ยวกว่า 4 ปีก็ตาม แต่ความเป็นเด็กทางใต้ของเขาก็ทำให้เขาชินกับหน้าหนาวของเมือง N ไม่ได้สักที

 

คิดแล้วฟางรุ่ยก็พลันถอนหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองมือขวาที่เริ่มรู้สึกชาดิกเพราะเมื่อเช้าดันรีบร้อนจนลืมใส่ถุงมือกันหนาวออกมาด้วย สลับกับประตูห้องกัปตันทีมฮูเซี่ยวตรงหน้า ไม่แน่ใจว่าควรจะเดินหน้าต่อให้สมกับที่ทนยืนหนาวมานานหรือจะถอยทัพกลับไปตั้งหลักที่ห้องตัวเองก่อนดี

 

อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขาเลย ก็แค่เคาะประตูเรียกอีกฝ่ายออกมาจากนั้นก็เดินเข้าไป หาเรื่องซุกผ้านวมอุ่นๆ ในห้องหมอนั่นแล้วยื่นของขวัญที่อุตส่าห์ออกไปหามาแต่เช้าให้ก็เป็นอันจบเรื่อง

 

ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ดูท่ามือขวาลูกรักของเขาวันนี้จะตาขาวตามพ่อมันไปแล้วถึงได้ทำอิดออดไม่ยอมเคาะเรียกหลินจิ้งเหยียนออกมาสักที

 

และแน่ล่ะว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง มือขวาเขาไม่ได้ตาขาวแต่อย่างใดแต่เป็นใจเขาต่างหากที่จู่ๆ ดันปอดแหกไม่เป็นท่าซะเอง…

 

ฟางรุ่ยขยี้หัวตัวเองจนเส้นผมสีน้ำตาลสั้นพันกันยุ่ง พลางคิดในใจว่าควรจะเลิกล้มแผนการนี้แล้วเปลี่ยนไปสะเดาะกุญแจห้องเข้าเสียดื้อๆ ให้สมกับฉายาโจรขโมยอันดับหนึ่งเลยดีไหม

 

และใช่ เขาคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี แต่ยังไงเขาก็ขอเก็บไว้เป็นแผนสำรองก่อนแล้วกัน

 

ในเมื่อไม่มีทางอื่นที่ดีนอกจากนี้ ชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามหลับหูหลับตาทำใจกล้าเคาะประตูตรงหน้าไปสองครั้งถ้วนไม่มีขาดไม่มีเกิน

 

ก๊อกๆ 

 

 “ใคร?”

 

ไม่นานเสียงทุ้มนุ่มที่เขาคุ้นเคยดีก็ดังลอดออกมาจากด้านใน ฟางรุ่ยรีบซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อฮู้ดเพื่อซ่อนกล่องของขวัญ ตอบกลับอีกฝ่ายให้น้ำเสียงดูเป็นปกติที่สุดแม้ว่าริมฝีปากจะกำลังเม้มแน่นด้วยความตื่นเต้น

 

“ฉันเองเหล่าหลิน”

 

“อ้อ เสี่ยวฟางเองเหรอ” หลินจิ้งเหยียนเอ่ยพร้อมกับที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้ เพียงครู่เดียวประตูที่เขายืนจ้องมานานก็เปิดออก หลินจิ้งเหยียนในเสื้อไหมพรมสีน้ำตาลโผล่หน้าออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาเข้าไปด้านใน

 

“ข้างนอกอากาศเย็น เข้ามาก่อนเถอะ”

 

ฟางรุ่ยฉีกยิ้มกว้างให้คนเป็นเจ้าของห้อง เขารีบเดินเข้าไปด้านในทั้งยังจัดการขโมยเตียงของหลินจิ้งเหยียนมาเป็นของตนทันที

 

หากแต่ยึดเตียงกับผ้าห่มมาเป็นของตนได้ไม่ทันไรคนขี้หนาวบางคนกลับเอาแต่นอนบ่นงึมงำ ซ้ำยังหันมาขมวดคิ้วใส่เจ้าของห้องตัวจริงที่กำลังปิดประตูเดินตามหลังเข้ามาด้านในอีก

 

“เหล่าหลิน นายไม่ได้เปิดฮีตเตอร์เหรอเนี่ยหนาวจะตายชัก”

 

“ฮะๆ เพราะนายขี้หนาวเกินไปต่างหาก” หลินจิ้งเหยียนหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงที่ตอนนี้กำลังมีฟางรุ่ยนอนแผ่หราจนเต็มพื้นที่ ดวงตาสีเข้มเหลือบมองร่างที่เพิ่งสูงเลยตัวเขาไปได้ไม่นานแล้วหยิบรีโมทมาปรับเพิ่มอุณหภูมิให้คนขี้หนาวโดยเฉพาะ

 

ส่วนอีกมือหนึ่งวางลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มมือของอีกฝ่าย กดแทรกปลายนิ้วลงไปช้าๆ

 

“โอเคขึ้นไหม?”

 

“อื้ม กำลังดีเลย” เสียงครางต่ำดังออกมาจากปากจอมสับปลับ เมื่อมาเจอกับอากาศอุ่นๆ ทั้งยังมีแรงกดพอดีมือจากหลินจิ้งเหยียน ฟางรุ่ยที่กำลังเหนื่อยล้าจากการเดินตามหาของขวัญมาตลอดทั้งวันจึงค่อยๆ พริ้มตาลงปล่อยให้คนสูงวัยกว่านั่งลูบหัวตัวเองเล่น

 

ก่อนที่ชายหนุ่มจะพลันลืมตาโพลงขึ้นมากะทันหัน

 

“มีอะไรหรือเปล่า” หลินจิ้งเหยียนรีบยกมือทั้งสองขึ้น หันไปเลิกคิ้วถามฟางรุ่ยด้วยความเป็นห่วง “หรือเล็บฉันไปข่วนโดนเข้า?”

 

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ฟางรุ่ยยักไหล่ปฏิเสธ รีบร้อนจะขยับตัวออกห่างจากหลินจิ้งเหยียน หากแต่เจ้าของฉายาอันธพาลอันดับหนึ่งกลับทำตัวเป็นอันธพาลสมชื่อ ฉวยจังหวะรวบเอวของฟางรุ่ยดึงเจ้าตัวมานั่งบนตัก ทั้งยังกระชับอ้อมกอดเสียแน่นจนคนโดนกอดอดไม่ได้ที่จะแหย่อีกฝ่ายกลับสักที

 

“เกิดขาดความอบอุ่นกะทันหันหรือไงเหล่าหลิน”

 

“อืม ขาดมาก” หลินจิ้งเหยียนหัวเราะน้อยๆ “วันสิ้นปีแต่มีคนหายตัวไปแต่เช้าโดยไม่บอก นึกว่าปีนี้จะหนีหนาวกลับบ้านไปแล้ว”

 

ถ้อยคำราวสาวน้อยแง่งอนของหลินจิ้งเหยียนทำเอาจอมสับปลับที่ถนัดแต่แหย่คนอื่นอย่างฟางรุ่ย ได้แต่หัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยายามงัดมือที่เกาะแน่นบนเอวตัวเองให้คลายออกเล็กน้อยแล้วหันหลังไปสบตากับหลินจิ้งเหยียน กลายเป็นว่าพวกเขากำลังอยู่ในท่าทางที่ชวนให้คิดลึกไปไกล

 

“ถึงจะหนีกลับไปก็ยังหนาวอยู่ดีไม่สู้อยู่นี่ประหยัดค่าตั๋วเครื่องบินไม่ดีกว่าหรือไง” ฟางรุ่ยกระตุกยิ้มมุมปาก ยืดตัวขึ้นเท้าคางลงบนไหล่ข้างหนึ่งของหลินจิ้งเหยียน มือเกี่ยวเอาแว่นตาอีกฝ่ายออกมาวางบนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะโน้มตัวลงแตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของคนตรงหน้า “อีกอย่างฉันแค่ออกไปหาของขวัญปีใหม่มาให้น่า ไหนๆ ก็เป็นวันครบรอบแล้วแถมยังเป็นวันสิ้นปีอีก ซื้อชิ้นนึงใช้ได้ตั้งสองงาน คุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีก”

 

“ว่าแต่ถ้าทำแบบนี้ยังขาดความอบอุ่นอยู่ไหม” คนพูดยิ้มกริ่มแกล้งเป่าลมหายใจร้อนเข้าข้างใบหู

 

“ฮะๆ เรื่องนี้คงต้องให้ฟางรุ่ยต้าต้าสั่งสอนหน่อยแล้วล่ะมั้งนะ” หลินจิ้งเหยียนยิ้มขำ

 

“เอางั้นเหรอ แต่ฉันว่าคนอย่างผู้เฒ่าหลินคงจะให้คำแนะนำได้ดีกว่านา” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าคนพูด ก่อนที่เจ้าตัวจะทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย “หรือว่าแก่จนลืมไปหมดกัน?”

 

สิ้นคำท้าทายของจอมสับปลับ จากสัมผัสแผ่วเบาในคราแรกพลันแปรเปลี่ยนเป็นสัมผัสหนักแน่นลึกล้ำชวนให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ลมหายใจอุ่นร้อนของพวกเขาสอดประสานกันและกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ฟางรุ่ยขยับคอเอียงเปิดทางเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ว่าอันธพาลในตัวของหลินจิ้งเหยียนกำลังเริ่มออกมาแผลงฤทธิ์จนหมดคราบสุภาพบุรุษ

 

แม้ว่าอารมณ์บางอย่างกำลังพุ่งสูงเต็มที่ ถึงอย่างนั้นฟางรุ่ยก็ยังไม่อยากให้ของขวัญที่อุตส่าห์ออกไปหาซื้อมาอย่างยากลำบากต้องกลายเป็นหมันไปซะก่อน เขาหรี่ตาลง ฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังคลอเคลียแนบชิดต้นคอตัวเองไม่ห่างหยิบเอาของในกระเป๋าเสื้อออกมาแล้วผลักไหล่คนตัวโตตรงหน้าให้เอนหลังนอนราบกับเตียงที่เพิ่งขโมยเจ้าตัวมาหมาดๆ

 

“ไม่สนใจของขวัญจากฉันหรือไงเหล่าหลิน?” ฟางรุ่ยยักคิ้วส่งให้หลินจิ้งเหยียนพลางโบกกล่องเล็กในมือไปมาพยายามทำใจกล้าซ่อนความประหม่าไว้ภายใน

 

ถึงเรื่องอื่นเขาออกจะหน้าหนาอยู่บ้าง แต่การทำอะไรหวานเลี่ยนอย่างเช่นให้ของขวัญวันครบรอบแบบนี้เขากลับรู้สึกไม่ชินเอาซะเลย…  

 

“อะไรกันฮึ นาฬิกา?” หลินจิ้งเหยียนยกยิ้มบาง ขยับมือขึ้นโอบรอบเอวของฟางรุ่ยที่กำลังนั่งคร่อมทับบนตัวเขาเรียกสีหน้าแดงจัดจากคนด้านบนที่กำลังทำตัวใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้

 

“เชี่ย อะไรดลใจให้นายเดาว่าเป็นนาฬิกาฮะเหล่าหลิน” คนอยากเซอร์ไพรส์เบิกตากว้างโยนกล่องของขวัญในมือไปข้างตัว หันไปเขย่าคอเสื้อคนรู้ทันเป็นการใหญ่

 

“สองสามวันก่อนนายมาเปิดคอมทิ้งไว้ในห้องฉัน” หลินจิ้งเหยียนรีบรับสารภาพ ดวงตาสีเข้มจ้องมองคู่หูคนสำคัญที่กำลังถลึงตาใส่เขายกใหญ่ ก่อนจะยื่นหน้าไปแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากเรียวของอีกฝ่าย แล้วค่อยๆ ยันตัวตัวลุกขึ้นนั่งจนฟางรุ่ยเสียหลักเผลอหลุดอุทานออกมาเสียงดังลั่น

 

“เหล่าหลินนายจะลุกมาทำไมกัน” ดวงตาเรียวยาวตวัดมองเจ้าของไอดีอันธพาลด้านล่าง

 

“ไม่มีแว่นฉันมองของขวัญนายไม่ค่อยถนัดเท่าไร” หลินจิ้งเหยียนเอ่ยเย้า ยื่นมือไปคว้าเปะปะบนหัวเตียงเพื่อหาแว่นที่ถูกโจรขโมยบางคนจับถอดโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้

 

“ว่าแต่เมื่อกี้ตกลงฉันเดาถูกไหมเสี่ยวฟาง”

 

“ไว้ลุ้นตอนเปิดเองแล้วกัน”

 

พูดจบชายหนุ่มก็เหลือบมองไปทางโต๊ะหัวเตียงที่มีแว่นตาสีดำวางเอาไว้ ฟางรุ่ยพรูลมหายใจแล้วเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมบนใบหน้าของหลินจิ้งเหยียนแทนเจ้าตัว

 

“สายตานายแย่กว่าเดิมหรือเปล่า?”

 

“อืม ก็คิดว่าจะลองไปวัดสายตาใหม่อยู่แต่คงรอให้ผ่านปีใหม่ก่อนน่ะนะ”

 

ฟางรุ่ยเพียงพยักหน้ารับรู้ดีว่าช่วงวันปีใหม่แบบนี้ถึงอยากไปร้านแว่นก็คงไม่มีใครมาเปิดร้านให้สักเท่าไร เช่นเดียวกับร้านนาฬิกาที่ทำเอาวันนี้เขาต้องวิ่งวุ่นหาเกือบจะรอบเมือง N

 

ชายหนุ่มขยับใบหน้าเข้าไปชิดใบหน้าของคนเป็นกัปตันทีมมากขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นเขม็ง กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแฝงความเป็นห่วง “แล้วอย่างนี้ตอนสุดสัปดาห์ออลสตาร์นายจะทำยังไง”

 

“ถ้าแว่นนี้ไม่ไหวจริงๆ คงต้องใช้คอนแทคเลนส์” หลินจิ้งเหยียนยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลสั้นของฟางรุ่ยพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ สายตาหันไปเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังที่กำลังบอกเวลาว่าเหลืออีกเพียงไม่นาทีจะถึงเวลานับถอยหลังแล้ว

 

“จะเที่ยงคืนแล้ว”

 

23.57

 

เหลืออีกแค่ 3 นาที

 

“มาเปิดของขวัญนายกันก่อนดีไหม?” หลินจิ้งเหยียนกล่าวนัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายวาววับ

 

เห็นบางอย่างในดวงตาของอันธพาลอันดับหนึ่งแล้ว คนเป็นคู่หูพลันยกยิ้มกริ่ม เอื้อมมือทั้งสองข้างไปโอบรอบคอกัปตันทีมตรงหน้าแล้วกดใบหน้าอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาข้างหู “จริงๆ แค่ทนรอของขวัญอีกชิ้นไม่ไหวแล้วก็บอกมาเหอะ”

 

“จะตั้งตารอของขวัญทั้งสองชิ้นเลย”

 

หลินจิ้งเหยียนหัวเราะน้อยๆ กับถ้อยคำเย้าแหย่ของจอมสับปลับ เขาหันกลับมาสนใจกล่องของขวัญสีเหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ที่เพิ่งถูกฟางรุ่ยยัดใส่มือมา มือเรียวค่อยๆ แกะกระดาษห่อด้านนอกออกอย่างระมัดระวัง ไม่นานก็เห็นกล่องหนังสีน้ำตาลสลักยี่ห้อนาฬิกาชื่อดังเอาไว้

 

“ฉันเดาถูกสินะเสี่ยวฟาง” 

 

“อย่างนายเขาเรียกว่าโกงน่าเหล่าหลิน” ฟางรุ่ยบุ้ยปากเอ่ยเร่งอีกฝ่าย “รีบเปิดเร็วเข้าเถอะ”

 

หลินจิ้งเหยียนส่งยิ้มน้อยๆ ให้คนรีบร้อนอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ เปิดฝากล่องนาฬิกาออกมา ด้านในกล่องมีนาฬิกาข้อมือสายหนังสีน้ำตาลเรือนหนึ่งที่ดูแล้วราคาไม่น่าจะน้อยตามขนาดของมัน

 

มันเป็นนาฬิการุ่นเดียวกับที่ฟางรุ่ยเปิดหน้าเว็บทิ้งเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ห้องเขา

 

23.58

 

“เป็นยังไงบ้าง” ฟางรุ่ยขยับตัวลงจากตักหลินจิ้งเหยียนเปลี่ยนไปนั่งพิงไหล่คนด้านข้างแทน ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความตื่นเต้น

 

หากแต่หลินจิ้งเหยียนกลับเพียงยกยิ้มอบอุ่นไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป นอกจากยื่นมือซ้ายของตัวเองออกไปให้ฟางรุ่ยช่วยใส่นาฬิกาข้อมือเรือนที่ได้รับมา ก่อนจะโอบไหล่อีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงสัมผัสของเส้นผมสีน้ำตาลสั้นที่กำลังคลอเคลียข้างแก้มเขาไม่ห่าง

 

เขาก้มหน้าลงเอ่ยกระซิบถ้อยคำข้างใบหูของอีกฝ่ายบ้าง

 

“ชอบมาก”

 

ฟางรุ่ยยิ้มร่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “ชอบก็ดี วันนี้ฉันเดินหามันเกือบทั่วเมือง ตอนแรกก็นึกว่าห้างใกล้ๆ ยังเหลืออีกเรือนนึงแต่ดันมีคนตัดหน้าซื้อไปก่อนจนได้”

 

“อา ทำให้นายลำบากซะแล้ว” หลินจิ้งเหยียนหัวเราะ เขาเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงหยิบเอาของบางอย่างที่มีขนาดใกล้เคียงกับกล่องนาฬิกาของฟางรุ่ยออกมา

 

23.59

 

“ของขวัญของนายบ้างเสี่ยวฟาง” หลินจิ้งเหยียนยื่นกล่องนาฬิกาที่มีตราสัญลักษณ์แบบเดียวกันให้ฟางรุ่ยที่ตอนนี้เบิกตากว้าง พร้อมกับขยับยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีเข้มฉายแววหยอกเย้ากับปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

 

“ของขวัญวันครบรอบก็ควรใส่เป็นคู่ว่าไหม?”

 

“อย่าบอกนะว่าเรือนสุดท้ายในห้างนั่นนายเป็นคนเอาไป” ฟางรุ่ยเลิกคิ้วหยิบนาฬิกาข้อมือแบบเดียวกับที่ตัวเองเพิ่งให้หลินจิ้งเหยียนออกมาจากกล่อง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดไปคาดโทษคนให้ทีหนึ่ง

 

“ฮะๆ ลำบากเสี่ยวฟางแล้ว” 

 

ฟางรุ่ยย่นจมูกใส่คนตรงหน้า โถมตัวเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างแรงจนคนสูงวัยกว่าถึงกับผงะไปด้านหลัง จากนั้นจึงถือโอกาสกัดริมฝีปากไปทีหนึ่ง

 

“ไม่ชอบงั้นเหรอ?” หลินจิ้งเหยียนเลิกคิ้วถามสองมือโอบรอบเอวของฟางรุ่ยเอาไว้แน่น

 

หากแต่จอมสับปลับกลับเพียงส่ายหน้า ใบหน้าฉีกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นยื่นมือไปโอบรอบคอหลินจิ้งเหยียนอีกครั้ง

 

“ใครว่าล่ะ นายเตรียมตัวรับของขวัญอีกชิ้นได้เลยเหล่าหลิน” 

 

00.00

 

ทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาเข้าสู่วันแรกของปี ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างห้องกัปตันทีมฮูเซี่ยวพลันปรากฏแสงหลากสีส่องสว่างกลางผืนฟ้าสีดำสนิท เรียกความสนใจจากพวกเขาที่กำลังจะเริ่มต้นแกะของขวัญชิ้นที่สองด้วยกัน

 

ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นมาเพื่อเปล่งประกายลูกแล้วลูกเล่า ให้ผู้คนได้ชื่นชมกับความสวยงามและสว่างไสวของมัน

 

ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงความมืดมิดราวกับไม่เคยมีมาก่อน

 

“จะว่าไปนายก็มาอยู่ที่นี่จะ 5 ปีแล้วสินะ” หลินจิ้งเหยียนพึมพำ ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นทอดมองดอกไม้ลูกใหญ่ตรงหน้าที่กำลังจะสลายไปหลังจากเพิ่งระเบิดออกมา

 

“จะว่าเร็วก็เร็วจะว่าช้าก็ช้า”

 

“หมายความว่าไง พอแก่แล้วก็เลยชอบพูดอะไรเป็นคนแก่หรือไงเหล่าหลิน” ฟางรุ่ยก้มหน้าลงแนบหน้าผากตัวเองเข้ากับหน้าผากของหลินจิ้งเหยียน ดวงตาสีอ่อนจ้องมองดวงตาใต้กรอบแว่นที่กำลังทอประกายวูบไหวเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเป็นแววตาอ่อนโยนดังเช่นที่เจ้าตัวมีเสมอมา

 

ดอกไม้ไฟ เบ่งบานเป็นประกายเจิดจ้าท่ามกลางผืนฟ้า

 

หากกลับสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นควันภายในเวลาเพียงชั่วครู่

 

ก่อนที่จะมีดอกไม้ไฟลูกใหม่เบ่งบานขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว 

 

เหมือนกับชีวิตนักกีฬาอันแสนสั้นของพวกเขา

 

เขารับรู้ความกังวลของหลินจิ้งเหยียน คู่หูของเขาดี…เวลาของอีกฝ่ายกำลังใกล้จะหมดลง

 

“เหล่าหลิน…พวกเรายังพอมีเวลาอีกหลายปีน่า ก่อนจะถึงตอนนั้นก็มาทำให้ฮูเซี่ยวเปล่งประกายแบบดอกไม้ไฟพวกนั้นกันเถอะ” 

 

“นั่นสินะ อีกอย่างนายเพิ่งให้เวลาฉันมาเองนี่” หลินจิ้งเหยียนหัวเราะน้อยๆ แล้วยกข้อมือข้างที่กำลังสวมนาฬิกาเอาไว้ขึ้นมา ลูบไล้ข้อนิ้วไปตามริมฝีปากของคนอ่อนวัยกว่าช้าๆ

 

ไม่ใช่แค่ฟางรุ่ยที่รู้ถึงความกังวลของเขา…แต่เขาก็รับรู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

 

“ฉันจะอยู่ที่นี่…ตราบเท่าที่ฉันจะสู้ไหว” 

 

“แต่พูดตามตรงแล้ว ฉันรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเริ่มแก่เข้าจริงๆ ก็ตอนที่มีแต่ฉันปวดหลังอยู่คนเดียวทั้งที่เสี่ยวฟางก็ออกแรงไปไม่น้อยนี่แหละนะ” หลินจิ้งเหยียนเอ่ยปากสารภาพ

 

“ถ้าอย่างงั้น…นายพร้อมจะรับของขวัญอีกชิ้นหรือเปล่าล่ะ หลินต้าต้า หรือกลัวจะต้องนอนปวดหลังไปซะก่อน” ฟางรุ่ยเหยียดยิ้มเยาะเย้ย ค่อยๆ งับปลายนิ้วที่กำลังอ้อยอิ่งบนริมฝีปากตัวเอง ขณะที่ดวงตาสีอ่อนหรี่ลงเป็นเชิงท้าทาย

 

“ว่าไงล่ะ”

 

อันธพาลอันดับหนึ่งเพียงขยับยิ้มเบาให้คู่หูคนสำคัญ แล้วตวัดมือข้างที่กำลังรวบเอวอีกฝ่ายเอาไว้ให้ขยับเข้ามาประชิดตัวยิ่งขึ้นจนพวกเขาสองคนไร้ซึ่งช่องว่างใดๆ อีกต่อไป ริมฝีปากเรียวเอ่ยถ้อยคำกระซิบแนบชิดใบหูผู้เป็นปรมาจารย์สับปลับ

 

“ถ้าอย่างนั้นของขวัญชิ้นนี้คงต้องให้ฟางต้าต้าเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะนะ”

 

“อย่ามาบ่นปวดหลังอีกแล้วกันเหล่าหลิน” ฟางรุ่ยพึมพำก่อนจะก้มหน้าลงแนบกลีบปากตัวเองลงบนริมฝีปากของหลินจิ้งเหยียน และเริ่มต้นมอบของขวัญปีใหม่ชิ้นสุดท้ายแก่คนที่เป็นทั้งคู่หู กัปตัน คนสำคัญ

 

และคนรัก

 

“สุขสันต์วันปีใหม่ และขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด”

 

—————————————————-

TALK

เขินจังเลยค่ะ ทำไมถึงได้เมากาวมาจนถึงขนาดนี้กันนะ /เหม่อมองฟ้า จริงๆ จะเขียนลงวีคลี่ดอกไม้ไฟล่ะค่ะ แต่ดันเอ้อระเหยไปหน่อยก็เลยปั่นไม่ทันค่ะ ฮา (หัวเราะกลบเกลื่อน -v-) สำหรับเรื่องนี้เราเขียนให้อยู่ในช่วงวันปีใหม่ก่อนงานออลสตาร์ซีซั่น 8 ค่ะ เหมือนเป็นความสงบสุขก่อนพายุจะโหมกระหน่ำใส่พวกเขา แม้จะมีเค้าลางบางอย่างที่พวกเขาเองก็รู้สึกได้ค่ะ ซึ่งเรื่องราวต่อจากนี้ทุกคนก็คงทราบกันดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนนะคะ /ปิดหน้าร้องไห้

 

 

全职高手 Fanfiction – โอเมก้าเวิร์ส [QZGS Weekly 4]

职高手 Fanfiction – โอเมก้าเวิร์ส

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

Note : กิจกรรม QZGS weekly สัปดาห์ที่ 4

.

.

.

…ตั้งแต่ที่ถังซันต่าถูกสกิลอันธพาลขั้นสูงอย่างพายุหมัดเจ้าถนนซัดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดความหวังที่เขาจะหาทางเอาชนะถังเฮ่าได้ก็หมดลงไป

 

หลินจิ้งเหยียนเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยความอ่อนแรง การต่อกรกับคนหนุ่มอายุน้อยอย่างถังเฮ่าดูท่าจะสูบเรี่ยวแรงเขาไปมากจนทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนล้าไปหมด

 

ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะขยับเปลือกตาช้าๆ จ้องมองคำว่า “กลอรี่” ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ไม่นานก็ได้ยินเสียงพิธีกรประกาศชื่อผู้ชนะด้วยเสียงดังกังวาน ว่าที่อดีตอันธพาลอันดับหนึ่งถอนหายใจแล้วก้าวลงจากแท่นควบคุม

 

ในที่สุด ล่างพิชิตบน ก็เสร็จสมบูรณ์

 

ไม่ว่าเมื่อไรอัลฟ่าก็คืออัลฟ่า

 

เป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจและแข็งแกร่งเสียจนเบต้าอย่างเขาไม่อาจเทียบได้

 

“เล่นได้ไม่เลวนี่…” เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับยื่นมือออกไป แม้ในใจจะรู้สึกราวกลับกลืนของขมเพียงใดแต่ภายนอกเขายังคงเป็นเช่นเดิม

 

เขาชินเสียแล้วกับการไม่แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม…

 

หากแต่ถังเฮ่าตรงหน้าเพียงปรายตามองก่อนจะยื่นมือมาจับมือของเขา พร้อมกับคำพูดที่เจ้าตัวลั่นออกมาก่อนหน้านี้

 

“ล่างพิชิตบน”

 

หลินจิ้งเหยียนยังคงยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้ง ก่อนจะก้าวออกจากสนามไปเงียบๆ

 

อุโมงค์ที่เขาเดินผ่านมานับร้อยครั้งยังคงเป็นเหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันดูทอดยาวออกไปไกลและมืดมิดกว่าปกติ

 

นับดูก็เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้วที่เขาต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในวงการมืออาชีพ ได้เป็นกัปตันทีมระดับกลางทีมหนึ่ง ได้รับฉายาอันธพาลอันดับหนึ่งแห่งกลอรี่มาครอบครอง แม้จะเป็นเพียงเบต้าคนหนึ่ง แต่เกียรติยศเหล่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เสียแรงที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อมันไป

 

อีกทั้งเส้นทางแห่งกลอรี่นี้ยังทำให้เขาได้เป็นคู่หูคนสำคัญของคนๆ หนึ่ง

 

แม้ไม่อาจครอบครองได้อย่างแท้จริง แต่เพียงที่เป็นอยู่ตอนนี้…

 

เท่านี้เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว

 

ดวงตาใต้กรอบแว่นของหลินจิ้งเหยียนเปลี่ยนจากล้ำลึกเป็นทอประกายอ่อนโยนขึ้นทันทีที่สังเกตเห็นใครคนหนึ่งในชุดทีมฮูเซี่ยวกำลังยืนกอดอกพิงผนังภายในอุโมงค์มืดสลัวนี้

 

แม้จะเห็นไม่ชัดมากนัก แต่แสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิดก็ทำให้เขาเห็นใบหน้าเรียวกับดวงตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายมองตรงมายังเขาก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงติดจะแหบเล็กน้อยต่างจากปกติ “วันนี้อุตส่าห์เชียร์นายจนคอแห้งไปหมดแล้ว เพราะงั้นไปหาอะไรดื่มกันไหมหลินต้าต้า?”

 

“นายเลี้ยง?” หลินจิ้งเหยียนเลิกคิ้วถาม

 

“แน่นอนว่าต้องนายสิ เอาใจกองเชียร์นายหน่อย เดี๋ยวครั้งหน้าจะไม่มีแรงเชียร์เอานา”

 

ฟางรุ่ยกระตุกยิ้มมุมปากก่อนเดินตรงไปหาคู่หูของตน สองมือของชายหนุ่มแยกออกกว้างราวกับรอให้อีกฝ่ายโถมตัวลงมาในอ้อมแขนนี้ หากแต่หลินจิ้งเหยียนกลับยกยิ้มละไมแล้วโอบร่างของฟางรุ่ยเข้ามาในวงแขนตนแทนแล้วดันตัวเองเข้าไปในซอกลึกของอุโมงค์สนามแข่ง

 

แม้ว่าในอุโมงค์วันนี้จะมืดกว่าทุกครั้งเพราะการฉายภาพโฮโลแกรม แต่สำหรับขุนพลเฒ่าที่รอบคอบทั้งในเกมและนอกเกมอย่างเขา ไม่ว่ายังไงทางเดินในอุโมงค์ก็อันตรายเกินไป

 

มีเพียงคนเดียวที่เขาสามารถปลดปล่อยอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องเก็บงำ

 

แค่เพียงคนในอ้อมกอดนี้

 

“ครั้งหน้า ฉันหวังว่ายังมีครั้งหน้า” หลินจิ้งเหยียนกระซิบข้างใบหูฟางรุ่ยแผ่วเบา สองมือของเขาลูบแผ่นหลังรองกัปตันฮูเซี่ยวช้าๆ ราวกับปลอบประโลมเด็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงรัดแน่นจากคนอ่อนวัยกว่า

 

“สโมสรจะหันหลังให้ฉันแล้วใช่ไหม?”

 

ฟางรุ่ยไม่ตอบรับแต่กลับยิ่งฝังหน้าลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่ายแทน ก่อนที่เสียงอู้อี้จะดังขึ้นช้าๆ

 

“พวกนั้นบอกว่ายังไงมีกัปตันทีมที่เป็นอัลฟ่าก็คงดีกว่า…เบต้า”

 

“ทุเรศชะมัด อัลฟ่าแล้วไง เบต้าแล้วไง ขนาดโอเมก้าอย่างชั้—-” ยังไม่ทันได้พูดจนจบมือข้างหนึ่งของหลินจิ้งเหยียนก็ขยับเข้ามาปิดปากคนพูดเสียก่อน พร้อมกับมืออีกข้างยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงห้าม

 

“ชู่ว นายเป็นเบต้า เสี่ยวฟาง เบต้าเหมือนกับฉัน”

 

ฟางรุ่ยเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะพยักหน้ารับคำ หลินจิ้งเหยียนเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ละมือของตนออกมาแล้วอ้อมไปวางบนหลังต้นคอเนียนเรียบไร้รอยแผลเป็นใดๆ ของจอมสับปลับ นิ้วเรียวลากไล้ กดเน้นย้ำลงบนจุดสำคัญที่โอเมก้าทุกคนหวงแหน เรียกเสียงลมหายใจหนักปนหอบจากคนในอ้อมแขน

 

“ทานยาแล้วใช่ไหม”

 

“อ่าหะ ทานของอาทิตย์นี้ไปแล้ว”

 

กัปตันทีมฮูเซี่ยวส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนพูด นิ้วเรียวที่เดิมทีลูบไล้หลังคออีกฝ่ายค่อยๆ ไล่ละลงมาที่กลางหลังก่อนจะพลิกตัวของฟางรุ่ยจนแผ่นหลังชายหนุ่มแนบซ้อนกับหน้าอกของเขา

 

หลินจิ้งเหยียนฝังจมูกลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลสั้น สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นอบเชยยามอยู่บนขนมหวาน เป็นกลิ่นที่ทั้งหวานและหอมละมุน ยิ่งเขาไล้จมูกลงมาใกล้หลังคอของอีกฝ่ายมากเท่าไรกลิ่นอันหอมหวานนี้ก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น

 

แม้โดยพื้นฐานแล้วเบต้าจะสามารถรับรู้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าได้น้อยกว่าอัลฟ่าก็ตาม อีกทั้งฟางรุ่ยยังเป็นโอเมก้าที่ทานยาระงับมาแล้ว แต่หากได้ฝังจมูกลงบนหลังคอโดยตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ดังเช่นเขาในตอนนี้ที่กำลังหลงมัวเมา

 

“หอม” หลินจิ้งเหยียนเอ่ยเสียงแหบพร่า

 

“อืม ฉันรู้ว่านายชอบ” ฟางรุ่ยเอนตัวพิงหลินจิ้งเหยียน แขนข้างหนึ่งยกขึ้นอ้อมไปด้านหลังเพื่อวางทาบลงบนกลุ่มผมของคนที่เฝ้าคลอเคลียบนหลังคอตัวเองไม่ห่าง

 

“เพราะงั้นอยากกินไหมล่ะเหล่าหลิน ได้ข่าวว่าแผลฉันหายไปเป็นชาติแล้ว”

 

สิ้นเสียงของฟางรุ่ย ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงแรงขบกัดด้านหลังพร้อมกับสองแขนที่รัดตัวเขาไว้แน่น แม้ว่าพวกเขาจะสร้างรอยขบกัดพวกนี้กี่ครั้ง แต่มันก็ไม่อาจตราตรึงอยู่ตลอดไปเหมือนเช่นการสร้างพันธะของอัลฟ่ากับโอเมก้า

 

หลินจิ้งเหยียนขบเม้มรอยกัดบนหลังคอฟางรุ่ย ปลายลิ้นไล้หยดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลก่อนจะประทับจุมพิตซ้ำลงไปพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมที่ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ

 

แม้ว่ารอยแผลนี้จะหายไปสักกี่ครั้ง

 

แต่พวกเขาก็จะสร้างมันขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง ไปเรื่อยๆ จนกว่าสักวันหนึ่งมันจะคงอยู่โดยไม่หายไปอีก

 

ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นจับจ้องหลังคอของคนตรงหน้า แม้รอบข้างจะมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็นก็ตามแต่เขากลับรู้สึกว่ารอยแผลนี้มันชัดเจนเพียงใด ถึงจะเฝ้าบอกตัวเองว่าแม้ไม่ได้ครอบครอง ไม่อาจผูกพันธะกันได้ ขอเพียงพวกเขายังคงมีกันและกัน เท่านี้เขาก็พอใจแล้วก็ตาม

 

แต่ความจริงแล้วเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่

 

วันนี้..ฮูเซี่ยวหันหลังให้เขาแล้ว

 

การจากไปใกล้เข้ามาทุกขณะและอนาคตข้างหน้าที่ไม่มีคู่หูคนสำคัญเคียงข้างก็ทำให้เขาหวาดหวั่น

 

ดังนั้น

 

“ถ้าถึงวันที่ฉันต้องไป อย่าลืมกินยาด้วย”

 

“อืม” ฟางรุ่ยพยักหน้ารับ

 

“แล้วก็…รอยแผลนี้อย่าให้ใครมาประทับซ้ำ” หลินจิ้งเหยียนขบเม้มริมฝีปากบนรอยแผล แต่งแต้มรอยแดงช้ำซ้ำลงไป

 

“แม้จะเป็นคู่แห่งโชคชะตาฉันอ่ะนะ” จอมสับปลับเอ่ยเย้าก่อนจะออกแรงดันใบหน้าของหลินจิ้งเหยียนให้เข้ามาใกล้

 

“แม้จะเป็นคู่แห่งโชคชะตานายก็ตาม”

 

“สัญญา?”

 

“สัญญา”

 

แล้วทุกเสียงของพวกเขาก็หายไปพร้อมจุมพิตเจือรสเลือดและสนิมเหล็ก

 

—————————————————-

TALK

ก็คืออออ ทีมเลทรายงานตัวอีกแล้วค่ะ ฮา เราเพิ่งเคยเขียนโอเมก้าเวิร์สเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นคู่เบต้ากับโอเมก้าอีก แต่ก็เขียนพี่หลินที่เป็นอัลฟ่าไม่ออกจริงๆ ค่ะ ดังนั้นเรื่องนี้เลยเขียนไปก็รู้สึกไปว่า เอ มันแปลกๆ หรือเปล่านะ แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่า อืม ช่างมันเถอะเราชอบก็พอค่ะ 555 

全职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai [3/4]

职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

Note : เริ่มแตกตอนไปเรื่อยๆและเรื่อยๆ….

ตอนที่ 1 全职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai [1/4]

ตอนที่ 2 全职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai [2/4]

.

.

.

ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงประตูท่าแพที่พนักงานของโรงแรมแนะนำมา ถึงจะได้ยินว่าเป็นจุดเล่นน้ำใหญ่ของเชียงใหม่อีกทั้งยังมีกิจกรรมให้เข้าร่วมตลอดทั้งวัน แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นที่นิยมถึงขนาดที่หันไปทางไหนก็เจอแต่คนจำนวนมหาศาลเดินเบียดเสียดสาดน้ำ ผลัดกันประแป้งขาวไปมาด้วยความสนุกสนานท่ามกลางอากาศร้อนๆ เช่นนี้

 

หลินจิ้งเหยียนเหลือบมองเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังไล่ยิงปืนฉีดน้ำใส่คนรอบข้าง ถึงจะไม่ได้อยู่ในเกมแต่อดีตโจรขโมยอันดับหนึ่งแห่งลีคก็ยังคงเก่งกาจในเรื่องความสับปลับ และถ้ามองไม่ผิดแล้วเขาเห็นฟางรุ่ยแอบยิงน้ำเย็นๆ ที่เพิ่งซื้อจากแผงลอยข้างทางเข้าด้านหลังคนอื่นจนหลายคนสะดุ้งเฮือก

 

หรือแม้กระทั่งแกล้งเนียนทำเป็นน้ำหมดให้ตายใจแล้วค่อยรัวสาดน้ำกลับ

 

ไม่ว่าเมื่อไรเด็กน้อยจอมสับปลับคนนี้ก็ยังคงความสับปลับไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

 

เห็นแล้วคนสูงวัยกว่าได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความแสบของอดีตคู่หูตัวเอง ก่อนจะรีบเปลี่ยนมาขยับยิ้มให้คนตรงหน้าที่จู่ๆ หันมายกปืนฉีดน้ำใส่เขาบ้าง

 

“อะไรกันเปลี่ยนเป้าหมายเป็นฉันแล้วเหรอ” หลินจิ้งเหยียนเลิกคิ้ว มองเด็กแสบที่บัดนี้ใบหน้าของเจ้าตัวเปื้อนแป้งสีขาวจนแทบไม่มีที่ว่างอื่น

 

“เน้ หลินต้า! หมดแรงแล้วหรือไง มาช่วยฉันยิงน้ำใส่เจ้าพวกเสื้อดำตรงนั้นก่อน นี่โดนมันสาดน้ำโครมๆ ใส่มาสองรอบแล้ว ยังไงร่วมมือกันสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวน่า” คนพูดถองศอกใส่สีข้างหลินจิ้งเหยียนสองสามทีแล้วหันมายิ้มเผล่ เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆ จากอดีตอันธพาลอันดับหนึ่งที่อาจต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นนักแม่นปืนชั่วคราวกับเขา

 

หากแต่ยังไม่ทันที่อดีตกัปตันฮูเซี่ยวจะได้เข้าไปช่วยรุมบอสตามที่คู่หูขอมา หลินจิ้งเหยียนก็ได้ยินเสียงตะโกนร้อง ตามด้วยเสียงหัวเราะร่าของฟางรุ่ยเสียก่อน

 

ดูท่าแล้วฟางรุ่ยคงจะไปกวนอะไรใส่คนกลุ่มนั้นที่เป็นคนพื้นถิ่นเข้า ถึงได้โดนรุมสาดน้ำกลับมารัวๆ จนแม้แต่เขาเองก็ยังพลอยเปียกชุ่มไปทั้งตัวด้วยเช่นนี้

 

“ชิ เจ้าพวกนั้นแม่ง เล่นสาดมาได้ อย่าให้มีถังน้ำตั้งไว้บ้างแล้วกัน!” คนโดนรุมจิ๊ปาก บ่นอุบอิบทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงเจือด้วยความสนุก ฟางรุ่ยกระตุกมือขวาตัวเองเบาๆ แล้วหันมาถามหลินจิ้งเหยียน

 

“มองเห็นทางไหมเหล่าหลิน แว่นเปียกไปหมดแล้ว”

 

“ไม่เป็นไรยังพอเห็นอยู่ แต่ว่าหลบไปข้างๆ กันก่อนเถอะ คงต้องเช็ดหน้าสักหน่อย แป้งเต็มหน้านายหมดแล้ว”

 

หลินจิ้งเหยียนส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ ชายหนุ่มจูงมือที่ถูกเขากุมเอาไว้จนร้อนไปทางด้านข้างของลานที่มีคนน้อยกว่าบริเวณอื่นๆ

 

แม้ว่าอยากจะถอดแว่นออกมาเช็ดสักหน่อยหลังจากที่โดนสาดน้ำมาเมื่อครู่ก็ตาม แต่มือทั้งสองข้างของเขาตอนนี้ไม่มีที่ว่างอื่นอีกแล้ว

 

มือข้างหนึ่งถือปืนฉีดน้ำ

 

ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง…

 

ดวงตาสีน้ำตาลมองลอดแว่นที่มีหยดน้ำเกาะจนมองเห็นได้เลือนราง แต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะเห็นว่ามือซ้ายของตนกุมมือใครคนหนึ่งไว้แน่น

 

แม้จะมองเห็นไม่ชัดไปสักหน่อย…

 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบที่จะกุมมือนี้เอาไว้ ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที

 

และใช่…มันอาจมีความรู้สึกบางอย่างที่ทั้งหวงและเป็นห่วงเด็กคนนี้ร่วมด้วย ยิ่งเห็นใครหลายๆ คนทั้งชายและหญิงทำท่าจะเข้ามาประแป้ง ลูบไล้แก้มและเนื้อตัวของเด็กหนุ่มเจ้าของมือนี้ตลอดทางตั้งแต่ที่พวกเขาออกมาเดินเล่นน้ำกัน

 

“วันนี้สนุกไหม หืม”

 

หลินจิ้งเหยียนละจากมือที่กุมไว้แล้วหันไปถามคนอ่อนวัยกว่า ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าชุ่มน้ำของตัวเองขึ้นมาเช็ดริมฝีปากเปื้อนแป้งของฟางรุ่ยไปด้วย “เช็ดหน้าก่อนเถอะ เดี๋ยวแป้งเข้าปาก”

 

“ก็ว่าสิ ขมเป็นบ้าเลย”

 

คนนึกสนุกแลบลิ้นออกมา ฟันคมขบลงบนนิ้วเรียวยาวใต้ผืนผ้าเช็ดหน้าที่กำลังไล้บนริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วมองจ้องไปยังดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่น

 

หากแต่หลินจิ้งเหยียนยังคงทำทีเป็นไม่สนใจอาการหยอกเล่นของคนตรงหน้า เขาเพียงยกยิ้มละมุนขึ้นแล้วเอ่ยถามคำถามเดิมไปอีกรอบ ขณะมือเรียวเลื่อนจากริมฝีปากไปยังแก้มที่ดูจะมีแป้งหนากว่าตรงอื่นๆ แล้วบรรจงเช็ดจนคราบแป้งเริ่มหมดไป 

 

“ฮะ ฮะ นายยังไม่บอกฉันเลยว่าที่นี่เป็นไงบ้าง”

 

“อ่าหะ สนุกดี ใครจะคิดว่าแค่สาดน้ำกันจะสนุกขนาดนี้ได้ แถมยังคิดถูกด้วยที่ซื้อเจ้านี่มา ใช้ดีกว่าขันห่วยๆ ที่โรงแรมแจกตั้งเยอะเลย” ฟางรุ่ยจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่เล่นด้วย ชายหนุ่มยกปืนฉีดน้ำในมือขึ้นอวด ก่อนดวงตาสีอำพันจะเหลือบลงไปเห็นเสื้อเชิ้ตสีแดงสดบนตัวหลินจิ้งเหยียนที่บัดนี้เปียกชุ่มจนแนบไปกับร่างสมส่วนที่ดูมีมัดกล้ามขึ้นมาบ้างหลังจากอีกฝ่ายย้ายเข้าทีมสโมสรป้าถู

 

ถึงจะเคยได้ยินมาก่อนว่าสมาชิกป้าถูมีกฎให้ต้องออกกำลังกายกันทุกวันตามตารางของรองกัปตันทีม แต่นี่มันออกจะแข็งแรงเกินไปหน่อยไหมนะ…

 

และจากสายตาเขาแล้ว กล้ามเนื้อพวกนี้ดูจะแน่นกว่าที่เขาเคยเห็นเมื่อช่วงต้นฤดูกาล ตอนที่หมอนี่โผล่มาหาที่ซิงซินเสียอีก…

 

ฟางรุ่ยย่นจมูกตัวเองเล็กน้อย มองเลยเส้นผมสีเข้มของหลินจิ้งเหยียนไปทางด้านหลัง เห็นหญิงสาวสองคนกำลังมองมาทางพวกเขา ไม่รู้ว่าเพราะสนใจหน้าตาหล่อๆ ของเขาหรือเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังเช็ดหน้าให้เขากันแน่

 

แต่อย่างน้อย…เขาก็ได้ชื่อว่าจอมสับปลับล่ะกันน่า

 

เร็วเท่าความคิดชายหนุ่มยกรอยยิ้มกว้าง แล้วจัดการสะบัดเส้นผมสีน้ำตาลสั้นเปียกๆ ของตัวเองไปมา จนหยดน้ำผสมแป้งกระจายมาโดนแว่นของหลินจิ้งเหยียน หากแต่ดูจะยังเปื้อนไม่พอในความคิดของฟางรุ่ย มือเรียวยกขึ้นปาดแป้งส่วนที่ยังไม่โดนเช็ด ป้ายทับลงบนแว่นตาหลินจิ้งเหยียนอีกที จนอีกฝ่ายต้องหยุดมือที่กำลังเช็ดหน้าให้แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยความสงสัย

 

“มีอะไรหรือเปล่—”

 

ยังไม่ทันที่หลินจิ้งเหยียนจะได้เอ่ยปากถามจนจบคำ สัมผัสอุ่นร้อนและนุ่มหยุ่นก็จัดการกลืนคำถามเขาลงไปเสียก่อน ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นเบิกกว้างเล็กน้อยกับสัมผัสอันคุ้นเคยเป็นอย่างดี

 

แม้ว่าจะมองไม่เห็นว่าสีหน้าเจ้าของริมฝีปากที่ทาบทับลงมาเป็นเช่นไร เนื่องจากแว่นตาถูกแป้งสีขาวบดบังไปจนหมด แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าใบหน้าของเด็กแสบจอมสับปลับคนนี้คงแดงก่ำเพียงใด ชายหนุ่มหลุบตาลงตอบรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจ สองมือค่อยๆ เลื่อนลงไปโอบรอบเอวที่บางกว่าเขาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นฝ่ายส่งต่อความรู้สึกของตนบ้าง

 

ทั้งสัมผัสร้อนผ่าว…

 

และความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม…

 

พวกเขาแลกเปลี่ยนลมหายใจกันได้สักพัก ไม่นานคนต้นเรื่องก็ทำท่าจะหายใจไม่ออกขึ้นมา หลินจิ้งเหยียนค่อยๆ ละริมฝีปากตัวเองออกมาก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายได้สูดลมหายใจลึกๆ ชดเชยกับที่เพิ่งเสียไป พลางถอดแว่นที่เต็มไปด้วยคราบแป้งออกมาเช็ดบ้าง

 

“ทำไมไม่ให้เห็นหน้าหืม อาย?” หลินจิ้งเหยียนหัวเราะกล่าว 

 

“เหอะ ใครจะไปอายกัน!” ฟางรุ่ยปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่ใบหน้ายังคงมีสีแดงสดพอๆ กับเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ที่พวกเขาสวมอยู่ เห็นดังนั้นหลินจิ้งเหยียนจึงนึกอยากหยอกอีกฝ่ายกลับไปบ้าง ชายหนุ่มเลื่อนมือไปจับมือขวาของฟางรุ่ยแล้วกุมไว้แน่น

 

“เหนื่อยแล้วสินะ กลับกันไหม หรือถ้าอยากจะต่อฉันก็ไม่ว่า”

 

“…..เล่นน้ำต่อ? หรืออย่างอื่นต่อ?” ฟางรุ่ยยักคิ้ว 

 

“นายก็รู้อยู่แล้ว…แต่รอบนี้ฉันไม่เอาแป้งแล้วนะ” หลินจิ้งเหยียนขยับยิ้มเบา หากแต่ดวงตาใต้กรอบแว่นที่มองมายังฟางรุ่ยดูพราวระยับขัดกับใบหน้าสงบนิ่งและรอยยิ้มสุภาพของเจ้าตัว

 

เขาไม่ควรลืมว่าคนตรงหน้ามีความเป็นอันธพาลอยู่เต็มเปี่ยมแม้จะซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าสุภาพก็ตาม

 

“กลับก็ได้ เล่นน้ำมาหลายชั่วโมงชักจะเหนื่อยแล้วเหมือนกัน แถมยังง่วงอีกต่างหาก” ฟางรุ่ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ตอบกลับอีกฝ่ายไม่เต็มเสียง

 

“อืม จะให้นอนเต็มที่เลย” หลินจิ้งเหยียนกระชับมือซ้ายที่กุมมือฟางรุ่ยไว้ แล้วพาเดินออกจากประตูท่าแพไปยังเส้นทางเดิมเพื่อกลับโรงแรม

 

นอนให้เต็มที่…

 

หลังจากที่พวกเราคุย ‘เรื่องนั้น’ กันเสร็จแล้ว

 

และใช่…เขายังไม่ลืมจุดประสงค์ในการพาคนๆ นี้มาถึงที่นี่ด้วยเช่นกัน

 

TBC

 

—————————————————-

TALK

ใกล้จบแล้วค่าาาาาา เย้ๆๆ ตั้งใจว่าจะเขียนให้จบก่อนวันพุธนี้ที่เป็นวันเกิดพี่หลินนะคะ >< และทั้งที่ตั้งใจจะให้จบในสองตอน แต่ก็ดันลากยาวมาเรื่อยๆ แถมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราค่อนข้างยุ่งมากเลยค่ะ กว่าจะเขียนเสร็จก็หายไปหลายวันเลย แต่สุดท้ายตอนนี้ทั้งสองคนก็ได้เล่นน้ำสงกรานต์แล้วค่า ต้องขอบคุณ น้องกานสาวเจียงใหม่ (@Kandaya) สำหรับข้อมูลการเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่นะคะ

อีกอย่างหนึ่งที่เราลืมพูดไปเลยก็คือ ตอนหน้าคงมีสปอยจุดสำคัญของคู่นี้ที่ยังไม่ออกมาในเล่มไทยค่ะ อันที่จริงเราค่อนข้างกังวลมากว่าจะเขียนดีไหม แต่สุดท้ายก็คิดว่าอยากเขียนมันออกมาค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ TvT 

ปล. สาวน้อยสองคนที่แอบถ้ำมองเสี่ยวฟางนั่นอาจไม่ได้หลงความหล่อนะคะ อาจจะแค่กรี้ดกร้าดที่เห็นหนุ่มสองคนเช็ดหน้าให้กันเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ฮ่าๆ

全职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai [2/4]

职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

Note : เริ่มแตกตอนไปเรื่อยๆ….

ตอนที่ 1  全职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai [1/4]

.

.

.

โรงแรมที่หลินจิ้งเหยียนบอกว่าได้รางวัลมานั้นอยู่ใกล้ตัวเมืองขนาดที่พวกเขาสามารถเดินไปเที่ยวไหนมาไหนได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งรถโดยสารด้วยซ้ำ อีกทั้งดูยังไงก็เป็นโรงแรมหรูสุดๆ จนฟางรุ่ยถึงกับอดเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายไม่ได้

 

ไม่ใช่ว่าใช้เงินเก็บหลังเกษียณไปหมดแล้วหรอกนะ….

 

จนถึงตอนนี้เขาเริ่มจะมั่นใจหน่อยๆ แล้วว่ารางวัลชิงโชคอะไรนั่นคงเป็นสกิลสับปลับของเจ้าตัวซะมากกว่าเพราะถ้าตาเขาไม่ฝาดเพราะอากาศร้อนไปก่อน บัตรเครดิตที่หมอนั่นยื่นให้พนักงานสาวสวยที่รีเซฟชั่นก็คงไม่ได้ให้เจ้าหล่อนเอาไปรูดเล่นๆ หรอกใช่ไหม

 

“จะอาบน้ำก่อนไหมเสี่ยวฟาง?” หลินจิ้งเหยียนทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียงหลังจากเข้าไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าของพวกเขาในห้องน้ำ มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลช้าๆ แล้วก้มลงมาใกล้ใบหูของคนที่กำลังนอนแผ่จนเต็มเตียง

 

“หื้อ ไม่อาบได้มะ” ฟางรุ่ยครางเสียงต่ำพลางซุกหน้าลงบนหมอน กว่าพวกเขาจะจัดการเช็คอินทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเย็นเข้าไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าหลินจิ้งเหยียนคุยอะไรกับพนักงานนักหนาถึงได้ใช้เวลานานขนาดนั้น

 

และถึงตอนอยู่สนามบินจะเหนียวตัวจนอยากอาบน้ำแค่ไหนก็เถอะ แต่ตอนนี้ต่อให้มีอะไรมาฉุดก็ไม่วันพรากเขาจากเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ นี่ไปได้หรอก

 

ไหนๆ ก็โดนลากมาแล้ว ใช่ว่าทั้งชีวิตจะได้มีโอกาสมานอนห้องหรูแบบนี้บ่อยๆ ซะเมื่อไร ยังไงก็ขอทำตัวขี้เกียจให้เต็มที่แล้วกันน่า!

 

แม้จะคิดอย่างนั้นแต่เหมือนหลินจิ้งเหยียนคงไม่เห็นด้วยกับเขาสักเท่าไร อีกฝ่ายสอดมือเข้ามาใต้เอวแล้วรวบตัวเขายกขึ้นจากหมอนได้เป็นผลสำเร็จ

 

“เฮ้ย! ทำอะไรฟะ ปล่อยลงได้แล้ว!” ฟางรุ่ยอุทานเสียงดังแล้วหันไปมองตาขวางใส่คนที่ส่งยิ้มมาให้เหมือนไม่ได้รู้สึกตัวสักนิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

 

มือแม่ง…จะจับอีกนานไหม!!!

 

“ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ เพราะเดี๋ยวคงเปียกอีก” หลินจิ้งเหยียนกลั้วหัวเราะ  ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำดูแวววาวจนฟางรุ่ยรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวร้อนๆ หนาวๆ ยังไงชอบกล

 

“เปียกอะไรหา บอกเลยตัวเหม็นเหงื่อแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอกนะ” ถึงอย่างนั้นคนอ่อนวัยกว่าก็ยังทำเป็นใจดีสู้เสือ รีบยกมือทั้งสองข้างไขว้กันเป็นรูปกากบาทแล้วกระถดตัวหนีฝ่ามือที่โอบรอบเอวของตนจนมาอยู่อีกฟากของเตียง

 

หากแต่ชาวป้าถูก็ไม่ใช่พวกที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เช่นกัน หลินจิ้งเหยียนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้บ้าง ก่อนจะรวบข้อมือข้างหนึ่งของฟางรุ่ยเอาไว้แล้วดึงให้อีกฝ่ายล้มลงมาบนหน้าตักของตัวเองในที่สุด

 

“เด็กลามก”

 

ชายหนุ่มก้มหน้าลง กระซิบข้างหูเจ้าของฉายาจอมสับปลับบนตัก เขาเห็นได้ชัดเจนว่าหูทั้งสองข้างนั้นแดงจัดเพียงใด หลินจิ้งเหยียนแย้มรอยยิ้มกว้างแล้วพลิกตัวฟางรุ่ยให้ลุกขึ้นนั่ง ถึงจะยังทำเป็นยียวนใส่เขาแต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็แดงก่ำไม่แพ้หูของเจ้าตัวจนอดไม่ได้ที่จะลูบหัวไปอีกทีหนึ่งด้วยความเอ็นดู

 

“ฉันหมายถึงไปเล่นน้ำกันไหม แบบที่เราเห็นตอนนั่งรถมาจากสนามบิน พนักงานบอกว่าถ้าเดินจากตรงนี้ไปไม่ไกลมากมีคนไปเล่นที่นั่นกันเยอะ”

 

“หืม นายหมายถึงที่มีคนเอาน้ำสาดๆ แล้วก็เอาอะไรขาวๆ ป้ายเต็มรถนั่นน่ะเหรอ เอาสิ ถึงจะร้อนไปหน่อยแต่ตอนนี้แดดคงไม่แรงมากแล้ว ไหนๆ ก็มาถึงนี่ไปเล่นสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร” ฟางรุ่ยเลิกคิ้วแล้วยกมือขึ้นกอดอก พยายามไม่หันไปมองหน้าหลินจิ้งเหยียนที่ยังคงจ้องมาที่เขาไม่วางตา

 

แค่ตอนนี้ที่หน้าแดงเอาๆ แบบควบคุมไม่ค่อยอยู่ก็ทำเอาตัวเขาอยากหนีไปเอาน้ำเย็นราดหัวให้รู้แล้วรู้รอด ยิ่งนึกถึงตอนอยู่บนรถที่อีกฝ่ายเอาแต่จับมือเขาไม่ปล่อยทั้งที่สะบัดแล้วสะบัดอีกก็ยิ่งพาลจะหน้าร้อนขึ้นทั้งที่อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ นี่ ฟางรุ่ยสูดลมหายใจลึกพยายามเปลี่ยนเรื่องให้หัวใจได้ทำงานช้าลงบ้าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในชุดที่ไม่เหมาะจะไปเดินให้ตัวเปียกเหมือนคนอื่นเขา

 

“แล้วนี่ต้องเปลี่ยนชุดด้วยสินะ ให้ใส่กางเกงยีนส์แบบนี้ไปเล่นน้ำคงไม่เหมาะแถมยังต้องใส่ต่ออีกวันด้วย” เขาเลิกชายเสื้อตัวเองขึ้นเตรียมจะถอดออกเพื่อเปลี่ยนชุด แต่มือหลินจิ้งเหยียนกลับคว้าที่ข้อมือเขาเอาไว้ก่อน รอยยิ้มของอีกฝ่ายหุบลง คิ้วขมวดแน่นเป็นเชิงดุ ก่อนจะรีบลุกจากเตียงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้านข้าง

 

พอโดนทิ้งไว้คนเดียว คราวนี้ฟางรุ่ยถึงได้มีเวลาเริ่มสำรวจห้องพักในคืนนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมารอบห้องแล้วมาหยุดที่กระจกใสซึ่งอยู่ติดกับเตียงเป็นจุดสุดท้าย

 

เชี่ยแล้ว…ใครมันเป็นคนออกแบบห้องน้ำนี้กันฟะ

 

เขายกมือขึ้นแตะปลายนิ้วลงบนกระจกใส ดวงตาสีอำพันมองเข้าไปด้านในซึ่งมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ตั้งชิดริมกระจก ถึงจะยังไม่ได้เข้าไปแต่ก็พอจะดูออกว่ามันเปิดเผยมากแค่ไหน ไม่ว่าจะอยู่ในอ่างอาบน้ำหรือนั่งบนเตียงก็มองเห็นได้จนหมดว่ากำลังทำอะไรอยู่

 

ฟางรุ่ยยืนจ้องไม่ขยับตัวอยู่นาน แต่ก็ต้องเผลอผงะถอยหลังออกมาสองสามก้าวเมื่อเห็นหลินจิ้งเหยียนโผล่หน้ามาทางอีกฟากของบานกระจก อีกฝ่ายยกยิ้มให้เขาทีหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำมายืนข้างเขาที่ยังคงยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก

 

ในมือของหลินจิ้งเหยียนมีเสื้อเชิ้ตผ้าบางลายดอกไม้สีสดอยู่ตัวหนึ่งที่เขาจำได้ว่าคนเล่นน้ำริมถนนใส่เสื้อแบบนี้กันเต็มไปหมด

 

เตรียมไว้หมดแล้วสินะ…

 

ฟางรุ่ยมองอดีตคู่หูที่เปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลสุภาพเป็นเสื้อสีแดงสดจนดูแปลกตาไป ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาแทบไม่เคยเห็นอดีตกัปตันฮูเซี่ยวใส่เสื้อสีสดแบบนี้เลยสักครั้งนอกจากเสื้อทีมสีเหลืองๆ สมัยก่อน

 

“เหล่าหลิน วันหลังกลับไปลองใส่เสื้อแบบนี้ดูบ้างไหม เหล่าหานคงคิ้วขมวดน่าดู” ชายหนุ่มหัวเราะร่าแล้วคว้าเสื้ออีกตัวในมือหลินจิ้งเหยียน ก่อนจะวิ่งหายไปในห้องน้ำบ้าง เพียงไม่นานก็ออกมาพร้อมเสื้อสีแดงลายดอกกับกางเกงขาสั้นพร้อมลุยน้ำแบบเดียวกัน

 

“เหมือนเสื้อคู่เลยแฮะ” ฟางรุ่ยสะบัดชายเสื้อตัวเองแล้วหันมายักคิ้วให้หลินจิ้งเหยียนที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว

 

“นั่นสินะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยับแว่นตาแล้วเลื่อนมือที่กำหลวมๆ ลงมาปิดริมฝีปากตัวเองเพื่อซ่อนรอยยิ้มกว้างที่ทำอย่างไรก็หยุดยิ้มไม่ได้สักที หากแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาแพรวพราวของฟางรุ่ยไปได้ คนอ่อนวัยกว่ารีบเอ่ยเย้าเข้าไปอีกประโยคจนต่างคนต่างหน้าแดงไปตามๆ กัน

 

“เตรียมไว้ก่อนแล้วก็บอกมาเถอะ”

 

“อืม จางซินเจี๋ยบอกก่อนมาน่ะ” คนโดนรู้ทันไม่อาจปกปิดรอยยิ้มของตัวเองได้อีกต่อไป ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับแล้วยกมือขึ้นยีเส้นผมสีน้ำตาลของเด็กน้อยที่สูงเลยตัวเขาไปนิดหน่อยแล้ว ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนลงมาจับมืออีกฝ่ายแล้วสอดนิ้วเข้าประสานกัน

 

“ไปกันเถอะ จับไว้จะได้ไม่หลงกัน”

 

TBC

 

—————————————————-

TALK

จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้เล่นน้ำกันสักทีค่ะ ฮาาา /หัวเราะทั้งน้ำตา แถมยังเริ่มขยายตอนออกไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก แต่ยอมรับว่าเขียนทั้งสองคนแล้วสนุกมากจริงๆ ค่ะ เขียนไปก็รู้สึกไปว่าทำไมเสี่ยวฟางแสบได้ขนาดนี้รู้ก อยากหอมหัวด้วยความมันเขี้ยว

ตอนต่อไปคงได้เล่นน้ำแบบจริงๆ แล้วค่ะ /เตรียมขันเตรียมแป้งพร้อม (♡´艸`)

全职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai [1/4]

职高手 Fanfiction – Holiday in Chiang Mai

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

Note : ตอนที่ 2 จะตามมาเร็วๆ นี้ค่ะ 

.

.

.

เชี่ย ทำไมแดดประเทศไทยถึงได้ร้อนขนาดนี้ฟะ!

 

ฟางรุ่ยสบถในใจดังลั่นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังแสงจากดวงอาทิตย์พร้อมกับหยีตาไปด้วย ถึงจะเคยได้ยินซูมู่เฉิงเตือนก่อนมาว่าที่นี่อากาศร้อนมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่ามันจะร้อนได้ถึงขนาดนี้นี่!

 

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพยายามเดินเข้าไปใต้ร่มเงาที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อจะได้ไม่ต้องผจญกับแดดแรงๆ ที่แม้แต่ตัวเขาที่เกิดและเติบโตมากับอากาศร้อนตลอดปีของกวางโจวยังแทบทนไม่ไหว

 

แล้วอย่างคนๆ นั้นที่แค่เจอหน้าร้อนของกวางโจวไปยังเหงื่อแตกพลั่กก็คงไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว

 

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของฟางรุ่ยเหล่มองไปทางคนขี้ร้อนที่เดินตามหลังมาไม่ห่าง แม้เจ้าตัวจะยังมีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าแต่หน้าผากและตามกรอบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก็เป็นตัวบอกอย่างดีว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกร้อนมากแค่ไหน

 

“ร้อนมากหรือไงเหล่าหลินให้ฉันช่วยพัดไหม เห็นงี้มือขวาฉันสั่นพั่บๆ แล้วนา”

 

ชายหนุ่มหันไปยักคิ้วให้หลินจิ้งเหยียนแล้วโบกมือไปมาต่อหน้าอีกฝ่ายจนเกิดลมอ่อนๆ ขึ้น จนถึงตอนนี้แม้จะออกจากสนามบินมาแล้วแต่เขาก็ยังแปลกใจไม่หายว่าอะไรดลใจให้อดีตคู่หูลากเขาออกมาเที่ยวไกลถึงต่างประเทศได้ทั้งที่ไม่ใช่วันหยุด

 

แถมยังเป็นประเทศที่ไม่เหมาะกับคนขี้ร้อนอย่างเจ้าตัวอีกต่างหาก…

 

ถึงจะบอกว่าเพราะได้รางวัลหรืออะไรก็ตามเถอะ มีหรือที่คนอย่างเขาจะเชื่อ ยังไงซะเขาก็มั่นใจเรื่องความสับปลับมากกว่าอีกฝ่ายอยู่แล้ว

 

ฟางรุ่ยกรอกตาพลางนึกถึงตอนเช้าที่เขากำลังนั่งทำแบบฝึกประจำวันตามปกติแต่กลับถูกตีขัดการซ้อมกระทันหัน เมื่อจู่ๆ ก็มีแขกจากป้าถูโผล่หน้ามาหาทั้งที่เป็นเช้าวันอาทิตย์ ตอนที่เฉินกั่ววิ่งมาบอกพวกเขาที่ห้องซ้อมนั้น ทีแรกทุกคนต่างก็นึกว่าจะมากันครบทั้งสี่คนเหมือนคราวก่อนเสียอีก

 

แต่ที่ไหนได้กลับมีเพียงหลินจิ้งเหยียนแค่คนเดียว

 

“ไง เสี่ยวฟาง เยี่ยซิวด้วย มารบกวนหน่อยนะ” หลินจิ้งเหยียนส่งยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นทักทาย เมื่อเห็นเขากับเยี่ยซิวเปิดประตูเข้ามาในห้องรับแขกซึ่งถูกต่อเติมหลังจากเหล่าคณะป้าถูบุกมาเยี่ยมเยือนซิงซินเมื่อตอนต้นฤดูกาล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นของคนตรงหน้ายังคงฉายแววสุภาพดังเช่นเสมอมา หากแต่สำหรับเขาที่เคยอยู่ข้างคนๆ นี้มาตลอดหลายปีแล้ว ฟางรุ่ยพอจะสังเกตได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าสุภาพและรอยยิ้มนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้น ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากอะไรออกมา คนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วก็หันไปหาเฉินกั่วและเป็นฝ่ายเริ่มเข้าเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวต้องถ่อมาไกลถึงซิงซินแต่เช้าตรู่

 

“อ่า คุณเป็นผู้จัดการทีมใช่ไหมครับ” หลินจิ้งเหยียนเอ่ยถามหญิงสาวเพียงคงเดียวในห้องเสียงสุภาพขัดกับฉายาอดีตอันธพาลอันดับหนึ่งของเจ้าตัว

 

“ไม่เชิง ฉันเป็นเจ้าของน่ะ แต่ก็ทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการอยู่ดี พอดีพวกเรายังไม่มีผู้จัดการทีม”  เฉินกั่วหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงอ่อย ปกติแล้วเกือบทุกสโมสรจะมีตำแหน่งผู้จัดการทีมเป็นตำแหน่งใหญ่ที่คอยดูแลเหล่านักกีฬา แต่จนถึงตอนนี้ซิงซินก็ยังคงไร้ผู้จัดการทีมซะทีแม้ว่าจะผ่านมาเกือบจบฤดูกาลแล้วก็ตาม

 

“ผมขอยืมตัวนักกีฬาของคุณสักสองสามวันได้ไหม ไม่สิ แค่สองวันก็แล้วกัน พรุ่งนี้ก็น่าจะกลับแล้ว” คนพูดเลือกจะไม่สนใจท่าทางของเฉินกั่ว เขาเพียงยิ้มบางๆ ให้แล้วบอกจุดประสงค์ของตัวเองไปเท่านั้น

 

“เฮ้! เหล่าหลินนายจะพาฉันไปไหน ถึงป้าถูของนายจะไม่มีซ้อมแต่ซิงซินยังมีซ้อมน่า จุ๊ๆ แล้วนี่นายออกมาได้ยังไงจางซินเจี๋ยยอมปล่อยให้นายโดดซ้อมได้ด้วยงั้นเหรอ”

 

ได้ยินว่าอีกฝ่ายมาขอยืมตัวกันต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ฟางรุ่ยพลันประท้วงใส่อดีตเพื่อนร่วมทีมเสียงดังลั่น แม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากปกติก็ตาม แต่จู่ๆ จะมาลากเขาไปไหนไม่รู้ทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดก็ไม่โอเคสำหรับเขาเช่นกัน

 

หรือบางทีอาจจะเป็นแผนขัดขาของจางซินเจี๋ย?

แต่คนอย่างหมอนั่นก็ไม่ใช่พวกที่จะคิดกลยุทธ์ต่ำตมแบบนี้ได้นี่ ถ้าเป็นกัปตันทีมข้างตัวเขาก็ไม่แน่

 

“อะไรเหล่าหลิน จะมาพาลูกทีมฉันไปไหนกัน หรือป้าถูอยากเปลี่ยนอาชีพนายเป็นโจรลักพาตัวบ้างแล้วหรือไง” เยี่ยซิวที่นั่งฟังอยู่นานหรี่ตามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนสูงวัยกว่าแล้วพูดในสิ่งที่อยู่ในใจของฟางรุ่ยออกมา แม้จะไม่เคยอยู่ทีมเดียวกันมาก่อนเหมือนฟางรุ่ย แต่เขาก็พอจะคุ้นเคยกับหลินจิ้งเหยียนมาบ้าง อีกฝ่ายไม่น่าใช่คนที่จะทำอะไรแหกกฎสมาพันธ์ขนาดนั้น

 

หลินจิ้งเหยียนกระแอมเล็กน้อยแล้วยกมือลูบท้ายทอยตัวเองด้วยความประหม่า ก่อนจะเปิดปากบอกเหตุผลที่อยู่นอกเหนือสารบบความคิดของพวกเขาทั้งหมดออกมา

 

“ฉันถูกรางวัล ได้ตั๋วที่พักฟรีมาเลยจะมาชวนนายไปด้วย”

 

เงียบ….ทั้งห้องกลายเป็นเงียบสนิท ก่อนที่ฟางรุ่ยซึ่งทำหน้าอึ้งราวกับเพิ่งโดนหมัดฮุคสวนมาจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้น ชายหนุ่มเบิกตากว้างจนตากลมๆ แทบถลน แล้วลุกไปชกต้นแขนของอีกฝ่ายด้วยความเผลอตัว

 

“เชี่ย นายถูกรางวัลแล้วจะมาพาฉันไปทำไม เพื่อนนายที่ป้าถูไม่มีหรือไงหา”

 

“ฉันสนิทกับนายที่สุด” หลินจิ้งเหยียนยิ้มให้เด็กน้อยที่ลงมานั่งอยู่ข้างตัว พลางวางมือบนหัวไหล่ของอีกฝ่ายที่ทำท่าจะชกเขาอีกสักหมัด

 

“แล้วไปเที่ยวแบบนี้เขาให้ไปกับสาวไหม มาชวนฉันไปก็น่าเบื่อแย่แล้ว” ฟางรุ่ยปรายตามองมือบนไหล่ตนแล้วจิ๊ปาก ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ก็อดรู้สึกดีหน่อยๆ ไม่ได้ที่อีกฝ่ายบอกว่าสนิทกับเขาที่สุด ชายหนุ่มหันไปมองหน้าหลินจิ้งเหยียนที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว สังเกตเห็นริมฝีปากค่อยๆ ขยับเป็นคำสามพยางค์ที่อีกฝ่ายไม่ค่อยได้เอ่ยออกมานักโดยไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปหาเยี่ยซิวและเฉินกั่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

 

“ไปกับนายดีแล้วล่ะ ฉันยังไม่มีแฟน’สาว’นายก็รู้” หลินจิ้งเหยียนส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงปฏิเสธจนฟางรุ่ยอ้าปากค้างกับถ้อยคำสับปลับหน้านิ่งของอดีตคู่หูตัวเอง

 

นี่มัน…จะสับปลับเกินไปแล้ว!

 

“อาทิตย์นี้เรามีแข่งกับหลินไห่ ถ้านายจะโดดสักวันสองวันก็คงได้อยู่ แต่ของนายล่ะเหล่าหลิน คู่แข่งอาทิตย์นี้ไม่ใช่เหลยถิงหรือไง?” เยี่ยซิวหรี่ตามองอดีตเพื่อนร่วมทีมสองคนที่ดูจะสนิทกันมากเป็นพิเศษ แล้วหันไปถามคนที่น่าจะเจอกับศึกหนักในปลายสัปดาห์ที่จะถึงนี้

 

หากแต่หลินจิ้งเหยียนกลับเพียงกระตุกยิ้มมุมปากแล้วมองลอดแว่นไปทางเยี่ยซิว “พวกเราจะชนะ เยี่ยซิว หรือนายคิดว่าจางซินเจี๋ยจะยอมให้ฉันออกมาโดยไม่มีแผนอะไรเตรียมไว้ก่อน”

 

“อ่า เจ้านายคุณว่าไง จะอนุมัติวันพักร้อนให้เขาไหม” ได้ยินดังนั้นเยี่ยซิวจึงหันไปทางเฉินกั่วที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มคุยกัน แม้จะไม่มีส่วนร่วมในบทสนทนาแต่ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของร้านเน็ตที่พบผู้คนมามากก็ทำให้เธอพอจะดูออกถึงความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างสองคนตรงหน้า

 

เฉินกั่วยังคงไร้ซึ่งคำพูดใดๆ นอกจากการพยักหน้าให้รัวๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเสียมารยาทต่อหน้าแขกจึงได้เอ่ยสัมทับไป “อื้ม ไปสิๆ กลับพรุ่งเองนี่ แล้ว เอ่อ คุณจะพาเขาไปไหน”

 

“เชียงใหม่”

 

สิ้นเสียงของหลินจิ้งเหยียน เฉินกั่วซึ่งอ้าปากเตรียมจะพูดต่อพลันเหมือนถูกดูดเสียงไปจนหมด หญิงสาวอ้าปากค้างหันไปมองเยี่ยซิวซึ่งมีท่าทางไม่ต่างจากตนนักแต่ยังคงเก็บอาการได้มากกว่า บุหรี่ที่เจ้าตัวคาบเอาไว้ตกลงมาตามแรงดึงดูดโลก

 

“เราคงต้องไปถึงสนามบินใน 3 ชั่วโมงนายไปเตรียมของเถอะ” หลินจิ้งเหยียนละสายตาจากคนสองคนที่กำลังติดสตั้นแล้วหันไปบอกคนที่นั่งตัวแข็งด้านข้างแทน มือเรียวที่วางบนไหล่ฟางรุ่ยตีลงบนไหล่ของคนอ่อนวัยกว่าสองสามครั้งแล้วยกขึ้นไปลูบเส้นผมสีน้ำตาลเหมือนเช่นสมัยก่อนที่พวกเขายังอยู่ทีมเดียวกัน

 

“ไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน :)”

 

อา ช่างแม่งเถอะ ไหนๆ ก็ได้เที่ยวฟรี เป็นไงก็เป็นกันแล้ว!

 

หลังจากนั้นฟางรุ่ยก็จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อันที่จริงต้องบอกว่าเขาแทบไม่มีสติอยู่กับตัวเลยสักนิด นอกจากวิ่งเข้าห้องนอนไปกวาดๆ ของใช้ส่วนตัวกับเสื้อผ้าสองสามชุดใส่เป้ที่เผลอฉวยมาจากกองเสื้อผ้าได้ จากนั้นก็โดนหลินจิ้งเหยียนลากออกไปสนามบินในทันที

 

 รู้สึกตัวอีกทีสองเท้าก็มาแตะพื้นสนามบินของประเทศอื่นเสียแล้ว พร้อมกับอากาศที่ร้อนจัดจนทำให้สติหลุดๆ ของเขาเริ่มกลับมาได้บ้าง

 

และใช่ เขายังมีเรื่องให้ต้องคุยกับหลินจิ้งเหยียนอีกมาก…

 

และอีกฝ่ายก็คงมีเช่นเดียวกัน…

 

แต่ตอนนี้…

 

ชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้าของหลินจิ้งเหยียนที่ยังคงเต็มไปด้วยเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ถึงเมื่อครู่จะใช้มือพัดให้ไปบ้างแล้วแต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด ฟางรุ่ยถอนหายใจก่อนจะหยิบผ้าขนหนูในเป้ออกมายัดใส่มือคนขี้ร้อน “เอ้า เหล่าหลิน เอานี่ไปเช็ดหน้าก่อนไป เห็นอย่างนี้ฉันนึกว่านายไปอาบน้ำมาแล้วนะเนี่ย รีบๆ เช็ดเข้า เดี๋ยวถึงโรงแรมค่อยไปอาบน้ำกัน”

 

หลินจิ้งเหยียนชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของฟางรุ่ย แต่ไม่นานก็รีบเก็บสีหน้าของตนจนกลับมาเป็นปกติ ชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่ายแล้วพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณเรียกรอยยิ้มกวนจากคนอ่อนวัยกว่าซึ่งยืนกอดอกยักคิ้วรออยู่ก่อนแล้วไม่น้อย

 

พวกเขายืนรออีกไม่นาน รถจากทางโรงแรมที่รอมานานก็มาถึง ฟางรุ่ยเผลอเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่ารถสีดำสนิทมีรอยคราบสีขาวเปื้อนเกือบทั้งคันทั้งยังเปียกไปหมด หากแต่การหนีร้อนดูท่าจะสำคัญกว่ารอยเปื้อนพวกนี้ ชายหนุ่มหันไปคว้าข้อมือของหลินจิ้งเหยียนแล้วออกแรงลากอีกฝ่ายให้รีบเดินขึ้นรถมาด้วยกัน

 

ยังไม่ต้องรีบ พวกเขายังมีเวลาอีกทั้งคืนที่จะพูดคุยกันให้เต็มที่…

 

และตอนนี้ดูท่าแอร์ในรถคงจะสำคัญกว่าเสียแล้ว…

 

TBC

 

—————————————————-

TALK

ก็คืออยากเขียนหนุ่มๆ เล่นสงกรานต์ค่ะ อยากเห็นเหล่าหลินตัวเปียกๆ กับเสี่ยวฟางโดนปะแป้ง แต่จนตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ถึงโรงแรมกันเลยค่ะ /ปาดน้ำตาให้กับความเร็วมือระดับพี่อวี้ จริงๆอยากลงให้จบทีเดียวเหมือนกันนะคะ แต่อีกใจก็อยากลงให้ทันช่วงวันหยุดสงกรานต์ด้วยเลยตัดสินใจหั่นตอนมาก่อนค่ะ จะพยายามปั่นอีกตอนให้ทันในพรุ่งนี้นะคะ >< สุดท้ายนี้ใครชิปคู่นี้มาคุยกันได้นะคะ เหงามากอยากหาคนมากาวด้วยกันนนค่ะ 555555 

 

全职高手 Fanfiction – Finding the Pole Star

职高手 Fanfiction – Finding the Pole Star

Pairing : หลินฟาง [หลินจิ้งเหยียน x ฟางรุ่ย]

Note : ฟรีเปเปอร์สำหรับงานComic Square 3ค่ะ + มีสปอยเนื้อหาในเล่มที่ 17,18

.

.

.

แสงไฟที่นี่…แสบตาเป็นบ้า

 

ฟางรุ่ยเอ่ยสบถในใจก่อนจะเอื้อมมือไปดึงชายผ้าห่มที่ร่นลงไปกองอยู่รอบเอวขึ้นมาคลุมจนแทบมิดหัว แม้ว่าตอนนี้จะแสบตามากแค่ไหน แต่ด้วยอาการปวดหัวตุ้บๆ หลังฟาดเครื่องดื่มมึนเมาไปเมื่อช่วงหัวค่ำทั้งที่ความจริงเป็นคนคออ่อนกับความง่วงนอนที่มีมากกว่าก็ทำให้เขาเลือกที่จะไม่สนใจมันแล้วพยายามจะข่มตาหลับต่อให้ได้

 

หากแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หลับต่อไปจริงๆ จมูกที่ดันทำหน้าที่ได้ดีผิดเวล่ำเวลาก็พลันได้กลิ่นบุหรี่ลอยมาตามลมพร้อมกับมีมือหนึ่งกระชากผ้าห่มแสนรักของเขาออกมาเสียก่อน ฟางรุ่ยหยีตาตัวเองแน่น พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ

 

นับหนึ่ง…นับสอง…นับสา——-

 

ไม่ทนแล้วโว้ย!

 

“เชี่ย! ไอตัวบัดซบเยี่ยซิว นายทำอะไรของนายกันฮะ!!!” ฟางรุ่ยตะโกนออกไปทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาบังแสงไฟที่ลอดผ่านใต้เปลือกตาเข้ามาจนรู้สึกแสบไปหมด ให้ตายเถอะ เขาอยากนอนเป็นบ้าเลย

 

“โอ้ รู้ด้วยเหรอว่าเป็นเกอ”

 

เยี่ยซิวแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ ริมฝีปากเรียวพ่นไอควันสีเทาจางใส่คนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกหนีไปยืนกอดอกพิงกำแพงพลางมองสมาชิกใหม่ของทีมแต่หน้าเก่าไปด้วย

 

“เหอะ กลิ่นบุหรี่ของนายแทบจะรมตัวฉันแล้ว เชื่อเลยว่าอีกไม่นานนายต้องได้ไปนอนโรงพยาบาลแน่ๆ” แม้ว่าจะกำลังง่วงนอนมากแค่ไหน แต่ความสับปลับยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมทั่วร่าง สิ้นเสียงบ่นงึมงำของปรมาจารย์ด้านความสับปลับ หมอนในมือของฟางรุ่ยก็ถูกเขวี้ยงใส่คนรบกวนเวลานอนอันแสนสุขในทันที หมอนสีขาวที่ดูจะเริ่มเหลืองหน่อยๆ ลอยออกไปเป็นแนวโค้งด้วยแรงของเนิร์ดติดเกม

 

ในที่สุดมันก็ล้มแปะอยู่เพียงปลายเท้าของเยี่ยซิวโดยที่ไม่แม้แต่จะได้สัมผัสร่างอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

 

“อา สมเป็นเจ้าของมือขวาทองคำจริงๆ ปามาได้ยอดเยี่ยมแต่แรงยังน้อยไปหน่อย”

               

ฟางรุ่ยน้ำตานองหน้า เขายอมยกธงขาวยอมแพ้ที่จะได้นอนต่อแล้ว การต่อกรกับเยี่ยซิวทำลายเวลานอนของเขาจนป่นปี้ไปหมด แต่การยอมแพ้คนอย่างเยี่ยซิวก็ไม่เคยอยู่ในสารบบความคิดของเขาเช่นกัน ชายหนุ่มพรูลมหายใจก่อนจะลุกขึ้นนั่งวางศอกบนหน้าขาตัวเองพลางเท้าคางเหยียดยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้า

 

“แล้วนี่มาปลุกฉันทำไมกันหา เป็นเกียรติจริงๆ ที่เยี่ยเสินลงทุนถึงขนาดมาปลุกฉันตอนเที่ยงคืนได้ หรืออยากมานอนกับฉัน จุ๊ๆ บอกกันดีๆ ก็ได้น่า”

 

เยี่ยซิวหรี่ตามองอีกฝ่ายบ้าง ริมฝีปากเรียวสูดควันบุหรี่เข้าไปอีกครั้งแล้วขยี้ก้นบุหรี่ที่เหลือใส่จานรองด้านข้าง “นี่มันห้องฉัน…พอดีเห็นนายเมาเป็นลูกหมาขนาดนั้นเจ้านายเลยบอกให้ยกนายมานอนที่นี่ไปพลางๆ ก่อนจนกว่าจะจัดห้องให้นายเสร็จ”

               

ไม่ว่าเปล่าเยี่ยซิวยังก้มลงหยิบหมอนที่ถูกปามาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาแล้วเดินมานอนลงบนเตียงโดยไม่สนใจฟางรุ่ยที่นั่งทำหน้าเหวอแม้แต่น้อย “เอ้าไหนๆ ห้องนายก็จัดเสร็จแล้ว ง่วงก็ไปนอนนู่นไป เกอจะได้นอนสักที” มือเรียวยกขึ้นสะบัดไปมาเป็นเชิงไล่ ก่อนจะคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเตรียมนอนเต็มที่หากแต่ยังไม่วายกล่าวไล่หลังฟางรุ่ยเป็นการส่งท้าย

               

“อ้อ ปิดไฟให้ด้วยนะ แสบตา”

               

เชี่ย! นี่มันจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว! 

               

ฟางรุ่ยสบถในใจเป็นรอบที่ร้อยหลังจากเพิ่งก้าวเท้าเข้ามาเหยียบซิงซินได้ไม่ถึง 24ชั่วโมงดี ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่กัปตันทีมคนใหม่พร้อมลอบชูนิ้วกลางตามไปด้วย ก่อนจะเดินฮึดฮัดไปทางห้องที่เพิ่งถูกชี้บอกมาโดยที่ไม่ลืมปิดไฟตามที่อีกฝ่ายต้องการ

               

อา รู้สึกเป็นคนดีเป็นบ้า

               

….และใช่เขาปิดไฟให้ตามคำขอ แต่หมอนั่นไม่ได้บอกสักหน่อยว่าให้ปิดไฟกี่ดวง :p

 

_________________________________

 

ห้องนอนใหม่ของเขาที่ซิงซินมีสภาพเหมือนห้องที่เขาเพิ่งตื่นมาเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด หากแต่เรื่องความสะอาดกลับแตกต่างกันราวสวรรค์กับหุบเหว ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตเช่นห้องของเขาที่ฮูเซี่ยวแต่อุปการณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีอย่างครบถ้วน หรืออย่างน้อยห้องนี้ก็ไม่มีเศษขี้บุหรี่หล่นตามพื้นก็แล้วกัน ฟางรุ่ยเหลือบมองกระเป๋าเสื้อผ้าของตนที่ขนมาเพียงสองสามชุดบนเก้าอี้ข้างเตียง

               

คงต้องกลับไปขนมาเพิ่มแล้วสินะ

               

ตั้งแต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป                                                                                         

 

แม้ในตอนแรกเขามีความคิดที่จะเก็บเสื้อผ้ามาเยอะกว่านี้สักหน่อย ด้วยในใจแอบเอนเอียงไปทางซิงซินกว่าครึ่ง อีกทั้งจากการได้เห็นศักยภาพของซิงซินในวันนี้แล้ว ถือว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่เลวจนถึงขั้นที่เขาคาดไม่ถึงเลย หากแต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ร้องบอกว่ามันอาจจะยังมีโอกาส….

               

โอกาสที่เขาจะยังได้ยืนอยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำต่อไป

 

…แม้ดูแทบจะไม่มีหวังก็ตาม

               

ทั้งที่ตัดสินใจแล้วว่าซิงซินคือฟ้าแห่งใหม่ แต่ก็ยังรู้สึกกังวลไม่หาย บางทีเขาอาจจะยังกังวลกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ได้ ทั้งกังวลและหวาดกลัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งที่พยายามทำใจกับมันมานานแล้ว

               

…เพราะตั้งแต่ที่ใครคนหนึ่งจากไป ท้องฟ้าผืนนั้นก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกต่อไป

               

ฟางรุ่ยถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงไปนอนแผ่เต็มเตียงข้างหน้าต่าง การโดนปลุกให้ตื่นมากลางคันทั้งยังต้องมาเจอกับเยี่ยซิวอีกทั้งความกังวลที่มีอยู่เต็มหัวนี้ ต่อให้ง่วงขนาดไหนก็ตามให้ตายเขาก็คงหลับต่อไม่ลงแล้ว ชายหนุ่มขยี้ผมตัวเองจนยุ่งแล้วประสานมือทั้งสองข้างหนุนรองใต้ศีรษะต่างหมอน

               

หรือเขาจะหาแอลกอฮอลล์มาดื่มอีกสักรอบดี อย่างน้อยการเมาหลับไปก็คงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้

 

ดวงตาสีอำพันเหม่อมองเพดานห้องที่มืดสนิท เพราะความขี้เกียจเปิดไฟจึงอาศัยเพียงแสงสว่างรางๆ จากภายนอกเท่านั้น

               

‘รู้ไหมว่าสำหรับพวกเราแล้วเพดานก็เหมือนท้องฟ้า เป็นท้องฟ้าที่มองเห็นได้บ่อยที่สุด’

               

…เขารู้…

               

‘ส่วนแสงไฟก็คือแสงดาว คอยส่องแสงนำทางพวกเราท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ถ้าไม่มีแสงไฟนายก็กดแป้นพิมพ์ไม่ได้จริงไหมล่ะ’

               

เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะของใครบางคนในความทรงจำดังก้องในหัวพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาบนศีรษะที่เขาคิดถึง ฟางรุ่ยหลับตาลงปล่อยให้เสียงนั้นเข้ามาครอบครองพื้นที่ทั้งหมดหวังให้มันขจัดความกังวลในใจเขาออกไป

               

ท้องฟ้าผืนใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนี้จะมืดมิดหรือสว่างไสวเขาก็ยังดูไม่ออกสักนิด

               

ฟางรุ่ยหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง สังเกตดวงดาวกลางท้องฟ้าสีดำสนิท ก่อนที่จะตัดสินใจคว้าเอาโทรศัพท์มือถือข้างตัวออกมาส่งข้อความไปหาเจ้าของรายชื่อที่ถูกปักหมุดไว้ด้านบนสุด จากนั้นจึงฉวยผ้าห่มบนเตียงขึ้นมาคลุมไหล่จนแทบมิดตัวแล้วเดินออกไปทางระเบียงห้องนอน

               

แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตามแต่อากาศในตอนกลางคืนก็ไม่เหมาะที่จะออกมานั่งตากลมทั้งที่ไม่มีอะไรปกคลุมร่างกายนอกจากเสื้อผ้าบางๆ เพียงชั้นเดียว เขาเท้าคางลงกับราวระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางไล่สายตาหาดาวดวงหนึ่งที่มักจะฉายแสงสว่างอยู่กลางท้องฟ้าเสมอ แต่ยังไม่ทันที่เขาได้จะเริ่มต้นหา
กลุ่ม ดาวนั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่คุ้นเคยก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

               

[ยังไม่นอนอีกเหรอ?] เสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความห่วงใยดังขึ้นมาจากปลายสาย

               

นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงนี้ใกล้ๆ สองเดือน สามเดือน หรือมากกว่านั้นกัน

 

เกือบปีแล้วที่อีกฝ่ายจากไปหลังจากสโมสรเป็นฝ่ายหันหลังให้ก่อน แม้จะได้พบหน้ากันบ้างเวลาเดินสวนกันในอุโมงค์แต่มันก็มีความกระอักกระอ่วนบางอย่างอยู่รอบตัวพวกเรา

 

ทำได้เพียงพบหน้า สบตา ยิ้มให้กัน และจากกัน โดยที่ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำให้กันแม้เพียงสักคำเดียว

               

“นายด้วยเถอะ ยังไม่นอนหรือไงกัน ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้วน่า” ถึงอย่างนั้น ถ้าจะให้เขาพูดกับอีกฝ่ายดีๆ ก็คงไม่ใช่ตัวเขาแล้ว

               

[คงเพราะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างจากใครบางคนล่ะมั้งนะ]

               

“เดาได้ถูกเผงเลย นี่…เหล่าหลิน ฟ้าของฉันมันเปลี่ยนไปแล้ว”

               

[ซิงซิน?] เสียงที่ตอบกลับมาดูเหมือนจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เรียกความสงสัยจากคนอ่อนวัยไม่น้อย

               

“อืม ท้องฟ้าที่นี่ไม่เลวเลยล่ะ ว่าแต่รู้ได้ไงหรือแค่มั่วสุ่มขึ้นมา ไม่คิดว่าฉันจะกลับไปซบหลานอวี่หน่อยหรือไง ยังไงนั่นก็ทีมแรกของฉันเลยนา” ฟางรุ่ยเอ่ยหยอกอีกฝ่ายไปพลางเริ่มไล่สายตาหากลุ่มดาวนั้นอีกครั้ง

               

[นายก็รู้ว่าแต่ไหนมาป้าถูเกาะติดเรื่องของเยี่ยซิวอยู่แล้ว] หลินจิ้งเหยียนปิดหนังสือในมือ ดูท่าว่าหลังจากที่เจ้าหนูฟางรุ่ยส่งข้อความมาหาเขาครั้งแรกในรอบปีนี้ คืนนี้เขาคงจะไม่ได้อ่านมันต่อแล้ว…

 

ใบหน้าอ่อนโยนแย้มรอยยิ้มกว้างในแบบที่เขาไม่ได้ยิ้มมาเกือบหนึ่งปี

 

[อยู่ข้างนอกเหรอ?] แม้จะเป็นกลางดึกแต่หลินจิ้งเหยียนก็ได้ยินเสียงรถยนต์ไกลๆ จากอีกฝ่าย

 

“อ่าหะ อยากรู้นิดหน่อยว่าฟ้าที่นี่จะต่างจากเดิมไหม นายก็ออกมาดูด้วยกันสิ” ฟางรุ่ยเอ่ยชวนอดีตคู่หูเสียงใส ลืมความง่วงเมื่อกี้นี้ไปสิ้นเชิง ดวงตาสีอ่อนไล่มองท้องฟ้าทีละนิด จากปลายท้องฟ้าทางขวาไปทางซ้าย

 

“นี่เหล่าหลิน มาแข่งกันไหม แบบเมื่อก่อน”

 

[หืม ไม่ใช่ว่านายหาเจอแล้วเหรอถึงได้ค่อยมาชวนฉันแข่ง] ไม่เสียแรงที่ต่างฝ่ายต่างเป็นคู่หูกันมานาน
หลินจิ้งเหยียนดันแว่นตาของตนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองบริเวณกลางท้องฟ้า ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นดาวดวงหนึ่งส่องสว่างยิ่งกว่าดวงอื่นๆ มุมปากข้างหนึ่งยกยิ้ม

 

ส่วนฟางรุ่ยหลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่งก็ร้องตะโกนออกมา “ฮ้า ฉันหาต้าสยงจั้ว(กลุ่มดาวหมีใหญ่)เจอแล้ว เหล่าหลิน นายเจอหรือยัง”

 

[อืม เจอแล้ว แล้วยังไงต่อยังจำได้ไหม]

 

“คิดว่าฉันเป็นใครกัน ถ้าแค่นี้จำไม่ได้ก็เสียชื่อฟางต้าแล้ว นี่ไง ลากสองดวงข้างหน้าสุดของต้าสยงจั้วไปตรงๆ ก็จะเจอกับปลายหางสว่างๆ ของเสี่ยวสยงจั้ว(กลุ่มดาวหมีเล็ก)พอดี ถูกไหม” ฟางรุ่ยค่อยๆ ลากนิ้วชี้จากกลุ่มดาวหมีใหญ่ขึ้นไปด้านบนทีละนิด ในที่สุดก็ไปหยุดบนปลายหางของกลุ่มดาวหมีเล็ก

 

“บิงโก!”

 

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดังใส่คนปลายสายที่อยู่ห่างไกลจากตัวเขาไปหลายร้อยกิโลเมตร เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายไม่น้อย

 

[เสี่ยวฟาง ดาวดวงนั้นมันยังคงอยู่ที่เดิมใช่ไหม] หลินจิ้งเหยียนขยับยิ้ม เขาหลับตาลงพลางจิตนาการใบหน้าของอีกฝ่ายจากในความทรงจำ

 

“อืม ทั้งต้าสยงจั้วกับเสี่ยวสยงจั้วก็ยังอยู่ที่เดิมเหมือนกัน เหมือนวันนั้นเลย”

 

อยู่บนกึ่งกลางท้องฟ้า ไม่เคยหนีไปไหน…

 

ดวงตาสองคู่ของคนสองคนเงยขึ้นมองดาวดวงหนึ่งที่ส่องสว่างกลางท้องฟ้าพร้อมกัน แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันสักเท่าไร แต่ตอนนี้…พวกเขากำลังมองดาวดวงเดียวกันและท้องฟ้าผืนเดียวกันอยู่

 

แม้ฟ้าเปลี่ยนไปแล้ว แต่ทั้งเสี่ยวสยงจั้วและดาวเหนือไม่เคยเปลี่ยนไป

 

และไม่ว่าเมื่อไร ต้าสยงจั้วก็จะคอยอยู่เคียงข้างและนำทางไปหาดาวทั้งสองเสมอมา

 

[รู้สึกดีขึ้นหรือยังหืม] ใช่ว่าหลินจิ้งเหยียนจะไม่รู้จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายติดต่อมา เขาอยู่เคียงข้างและเฝ้ามองเด็กคนนี้มาตลอดหลายปี ทำไมเขาถึงจะไม่รู้กันว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเช่นไร

 

“อืม รู้สึกดีมากกก” ฟางรุ่ยตอบเสียงสูง ความกังวลทั้งหลายแหล่ก่อนหน้านี้ราวกับถูกเสียงนุ่มนวลของอีกฝ่ายขจัดไปจนหมดเกลี้ยง ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง แล้วทรุดตัวลงนั่งพิงพนักหัวเตียง เมื่อความกังวลที่ถูกซ่อนไว้จางหายไป ความสงบก็เข้ามาแทนที่

 

[นายยังมีฉันเสมอเสี่ยวฟาง ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ฉันจะอยู่เคียงข้างนาย]

 

และจะคอยนำทางให้นายตลอดไป….

 

“คิดถึง” คนอ่อนวัยเอ่ยออกมาเป็นคำสุดท้าย ก่อนที่ลมหายใจจะเริ่มผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะ ดวงตาสีอำพันปรือต่ำลง

 

[เหมือนกัน แล้วจะไปหา ราตรีสวัสดิ์เด็กน้อย]

 

สิ้นเสียงของหลินจิ้งเหยียน สายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปพร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิทลงของฟางรุ่ย

 

หลับฝันดีเด็กน้อยของฉัน

 

_________________________________

 

‘ถ้านายหลงทางมีดาวดวงหนึ่งที่จะอยู่บนท้องฟ้าคอยนำทางนายเสมอ’

 

‘ใช้เข็มทิศก็ได้นี่เหล่าหลิน’ เด็กน้อยเอ่ยขัดกัปตันทีม พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวมากมายจนนับไม่ถ้วน

 

‘บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง’ หลินจิ้งเหยียนวางมือบนศีรษะอีกฝ่ายพร้อมกับยีเส้นผมสีน้ำตาลเบาๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นชี้ไปทางกลุ่มดาวหนึ่งบนท้องฟ้าทางทิศเหนือ

 

‘นั่นคือต้าสยงจั้ว นายเห็นดาวสองดวงแรกนั่นไหม มันจะชี้ไปหาดาวที่ฉันว่าเสมอ’

 

ฟางรุ่ยเงยหน้าขึ้นตามมืออีกฝ่าย มองดาวสองดวงนั้นแล้วลองลากตามไปที่คนเป็นกัปตันบอก ในที่สุดก็ไปหยุดลงบนดาวดวงหนึ่งที่สว่างกว่าดาวดวงอื่นๆ ข้างเคียง มันอยู่ที่ปลายของกลุ่มดาวที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มดาวอันแรกไม่มีผิดหากแต่กลับมีขนาดเล็กกว่า

 

ถึงจะเล็กแต่ในนั้นกลับมีดวงดาวที่สว่างยิ่งกว่าดาวดวงไหนๆ อยู่

               

หลินจิ้งเหยียนส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนอ่อนวัยข้างตัว ชายหนุ่มเงยหน้ามองดูดาวดวงนั้นบ้าง แม้จะเป็นเพียงกลุ่มดาวที่เล็กกว่าแต่กลับส่องประกายเหนือกว่ากลุ่มดาวที่เหมือนกันข้างๆ

           

เหมือนเด็กน้อยข้างกายเขา เปล่งประกายและเต็มเปี่ยมด้วยพลัง

           

ส่วนตัวเขา…ก็จะคอยนำทางและอยู่เคียงข้างดาวดวงนี้ตลอดไป

 

☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆

TALK

สวัสดีค่ะ ใหม่จังคนเดิมเพิ่มเติมคือลื่นตกลงเรือดังตุ้บ… สารภาพว่าก่อนหน้านี้เคยชิปคู่นี้แบบห่างๆค่ะ จนกระทั่งมาเจอเล่ม 18 เฮดช็อตเข้าไป จากที่เคยยืนดูอยู่ห่างๆ ก็ถูกพลังงานบางอย่างดูดเข้าไป จนมารู้ตัวอีกทีก็ออกมาเป็นฟิคเรื่องนี้แล้วค่ะ แถมยังหาทางปีนขึ้นมาไม่เจอด้วยนะคะ ฮา

เรื่องนี้เป็นฟิคหลินฟางเรื่องแรกของเราค่ะ ตอนแรกก็ว่าจะเอามาลงในนี้ตามปกติ แต่คิดอีกทีถ้านั่งพิมพ์แบบเรื่อยๆก็คงไม่เสร็จสักที ก็เลยมานั่งปั่นทำเป็นฟรีเปเปอร์ยันวินาทีสุดท้ายอีกแล้วค่ะ ต้องขอขอบคุณทุกคนทั้งที่มาแวะเวียนพูดคุยกันในCQ3 คนที่สนใจรับฟปป.เล่มนี้กลับบ้าน และ ทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ สุดท้ายนี้…ขอฝากเหล่าหลินและเสี่ยวฟางไว้ในอ้อมอกอ้อใจด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

หวังว่าทุกคนจะได้ลองตามหาดาวเหนือเหมือนทั้งสองคนนี้กันนะคะ 🙂